การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศจีนย่ำแย่ลง หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงปักกิ่งเพิ่มสูงขึ้นและทำให้ทางการจีนตัดสินใจล็อกดาวน์พื้นที่บางแห่งในกรุงปักกิ่ง และถือเป็นการใช้มาตรการที่เข็มงวดต่อปักกิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำหนดนโยบายของจีนกำลังพยายามเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดวิกฤติแบบที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจในขณะนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กรุงปักกิ่งซึ่งมีประชากรกว่า 20 ล้านคน และเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองของจีน ได้สั่งล็อกดาวน์ย่านที่อยู่อาศัยหลายสิบแห่งในเมืองเฉาหยาง และปูพรมตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว 3 ครั้งในสัปดาห์นี้ หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่หลายสิบรายในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่กรุงปักกิ่งเตือนว่า อาจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่นายซู เหอเจี้ยน โฆษกรัฐบาลกรุงปักกิ่งได้เปิดเผยเมื่อบ่ายวันศุกร์ (22 เม.ย.) ว่า การแพร่ระบาดในปัจจุบันนั้น "ซับซ้อนและยากที่จะสังเกตเห็น" โดยนายเหอเจี้ยนให้คำมั่นว่าจะยกระดับมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับการล็อกดาวน์กรุงปักกิ่งนั้น เกิดขึ้นหลังจากนครเซี่ยงไฮ้รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตมากเป็นประวัติการณ์และบังคับใช้กฎที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อพยายามควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อ โดยการแพร่ระบาดพร้อมกันใน 2 เมืองที่สำคัญที่สุดของจีนกลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนสำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ซึ่งมีแนวโน้มจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเป็นสมัยที่ 3 ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปลายปีนี้
เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้เปิดเผยในวันนี้ว่า พบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 รายจำนวน 51 รายในวันอาทิตย์ ( 24 เม.ย.) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 39 รายในวันเสาร์ และทำสถิติการเสียชีวิตรายวันสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในเซี่ยงไฮ้
รายงานระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเซี่ยงไฮ้ร่วงลง 7.5% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563 เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดส่งผลให้การผลิตหยุดชะงัก