สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานในวันนี้ว่า กระแสต่อต้านในจีนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับมาตรการห้ามประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งบ่งชี้ว่า ประชาชนนั้นมีความไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงนโยบายสกัดโควิด-19 ที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน
ทั้งนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ (NIA) ระบุว่า จะจำกัดการเดินทางที่ไม่จำเป็นของพลเมืองจีน รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติเอกสารเดินทางเข้า-ออกประเทศ เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสในประเทศ โดยจีนเดินหน้าเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดโควิด-19 มาตั้งแต่การระบาดช่วงแรก ๆ ขณะที่นครเซี่ยงไฮ้ยังคงล็อกดาวน์ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 และประชาชนในกรุงปักกิ่งวิตกว่า พวกเขาอาจจะเผชิญกับการล็อกดาวน์ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวนั้นจะสอดคล้องกับแนวทางที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่การออกมาย้ำในครั้งนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการใช้อำนาจในการควบคุมเพิ่มขึ้น และสร้างกระแสความไม่พอใจเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Covid Zero)
นอกจากมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศแล้ว จีนยังปิดพรมแดนไม่เปิดรับผู้เดินทางจากต่างประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้จีนยังคงโดดเดี่ยวจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งเริ่มปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 แล้ว
ข้อมูลจาก NIA ระบุว่า "จีนมีผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศอยู่ที่ 128 ล้านคนในปี 2564 ซึ่งไม่ถึง 20% ของยอดรวมผู้เดินทางในปี 2562 และในครึ่งแรกของปี 2564 มีการออกหนังสือเดินทางเพียง 335,000 เล่มเท่านั้น หรือคิดเป็น 2% ของช่วงเดียวกันในปี 2562"
โซเฟีย ฟาง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในเซี่ยงไฮ้ระบุว่า "การส่งสัญญาณดังกล่าวเป็นการเพิ่มความเข้มงวดของนโยบายในปัจจุบัน เนื่องจากรัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ แล้วกลับมาพร้อมกับนำโรคโควิดมาระบาดภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทางการห้ามประชาชนออกนอกประเทศ"