ชาวไต้หวันให้การต้อนรับภาพยนตร์เรื่อง ท็อปกัน มาเวอริค (Top Gun: Maverick) อย่างถล่มทลาย หลังมีฉากหนึ่งในภาพยนตร์เผยให้เห็นภาพธงชาติไต้หวันบนหลังเสื้อแจ็กเกตของทอม ครูซ ซึ่งเป็นนักแสดงนำ โดยแม้จะเป็นเพียงฉากเล็ก ๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า วงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์ทางการเมือง หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า สหรัฐพร้อมจะปกป้องไต้หวันจากการรุกรานของจีน
ภาพยนตร์เรื่องท็อปกันภาคแรกซึ่งออกฉายในปี 2529 นั้น พระเอกของเรื่องคือพีท มาเวอริค ใส่เสื้อแจ็กเกตหนังที่ติดธงรำลึกถึงการไปต่อสู้ในสนามรบของพ่อที่ญี่ปุ่นและไต้หวันปี 2506-2507 แต่เมื่อท็อปกันภาคสองคือ ท็อปกัน มาเวอริค ปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์ออกมาในปี 2562 ปรากฏว่าธงทั้งสองชาติกลับถูกถอดออกไป และแทนที่ด้วยสัญลักษณ์อื่นแทน
กระทั่งเมื่อภาพยนตร์ออกฉายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพธงชาติไต้หวันและญี่ปุ่นได้หวนกลับมาปรากฏอยู่บนเสื้อแจ็กเกตของพีท มาเวอริคอีกครั้งเหมือนที่เคยปรากฏในท็อปกันภาคแรก และช็อตดังกล่าวยังมีการซูมให้เห็นอย่างชัดเจนด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้เรียกเสียงตอบรับจากชาวไต้หวันเป็นจำนวนมาก
แอนน์ โคคาส ผู้เชี่ยวชาญด้านมีเดียแห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Hollywood Made in China" กล่าวว่า การที่ผู้สร้างภาพยนตร์ท็อปกัน มาเวอริค ตัดสินใจนำธงชาติไต้หวันกลับมาอีกครั้ง อาจเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า วงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดเริ่มไม่สนใจต่ออิทธิพลของจีน
เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ปธน.ไบเดนได้ให้คำมั่นสัญญาว่า สหรัฐจะปกป้องไต้หวัน หากจีนพยายามใช้กองกำลังทหารรุกราน นับเป็นการเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญของสหรัฐหลังมีนโยบายรักษาจุดยืนแบบคลุมเครือมาอย่างยาวนาน
ท็อปกัน มาเวอริค กวาดรายได้ถล่มทลายหลังเปิดตัวเพียงไม่กี่วัน นับเป็นข่าวดีสำหรับวงการภาพยนตร์ซึ่งกำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยนอกเหนือจากอิทธิพลของตัวนักแสดงและเส้นเรื่องแล้ว ท็อปกัน มาเวอริค ยังกวาดรายได้จากผู้ชมกลุ่มสูงวัยที่เป็นแฟนตัวยงของท็อปกันภาคแรกเมื่อ 36 ปีที่แล้ว
พอล เดอร์การาเบเดียน นักวิเคราะห์สื่ออาวุโสจากคอมสกอร์กล่าวว่า "ผลงานอันน่าทึ่งของท็อปกัน มาเวอริค แสดงให้เห็นว่า เมื่อคุณรวมดาวค้างฟ้าเข้ากับการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นตำนานแล้ว คนทุกวัยก็จะรีบไปโรงหนังเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ในการรับชมภาพยนตร์ที่ทุกคนต่างพูดถึง"