เหตุการณ์ประท้วงต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนได้ลุกลามเป็นวงกว้างในขณะนี้ โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมารวมตัวกันบนท้องถนนในเมืองต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์และล็อกดาวน์เมืองต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน ขณะที่ผู้ประท้วงบางกลุ่มเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ลาออกจากตำแหน่ง
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ชาวจีนในเมืองเซี่ยงไฮ้หลายร้อยคนได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ (27 พ.ย.) เพื่อต่อต้านการใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุมโควิด-19 ที่ย่างเข้าสู่วันที่สาม รวมทั้งแสดงความไม่พอใจที่เกิดเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ในอาคารแห่งหนึ่งที่เมืองอุรุมชี เมืองหลวงของซินเจียง ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ดังกล่าว
"เรามารวมตัวกันเพราะเรารักประเทศของเรา แต่เราไม่รักรัฐบาลของเรา เราต้องการออกนอกบ้านอย่างเป็นอิสระ แต่เราไม่สามารถทำได้ นโยบายโควิดเป็นศูนย์เป็นแค่เกม และไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง" ผู้ประท้วงรายหนึ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้กล่าวกับผู้สื่อข่าว
ส่วนการประท้วงในเมืองอุรุมชีนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในอาคารสูงและทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คนเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (24 พ.ย.) โดยภาพจากวิดีโอที่แชร์บนโซเชียลมีเดียของจีนนั้น ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเชื่อว่า ผู้อยู่อาศัยในอาคารไม่สามารถหนีไฟได้ทันเวลา เนื่องจากอาคารถูกล็อกดาวน์บางส่วนเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เหตุการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงและลุกลามไปยังเมืองต่าง ๆ ของจีนซึ่งรวมถึงกรุงปักกิ่ง เมืองอู่ฮั่น เฉิงตู ซีอาน และนานกิง ขณะที่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จำนวนมากได้ออกมาร่วมประท้วงในครั้งนี้ด้วย โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้ตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลว่า "ยกเลิกการล็อกดาวน์"
สำหรับที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีนนั้น รายงานล่าสุดระบุว่า กลุ่มผู้ประท้วงอย่างน้อย 1,000 คนยังคงปักหลักประท้วงในช่วงเช้าวันนี้ (28 พ.ย.) โดยผู้ประท้วงพร้อมใจกันตะโกนว่า "เราไม่ต้องการหน้ากากอนามัย เราต้องการเสรีภาพ เราไม่ต้องการตรวจเชื้อโควิด-19 เราต้องการเสรีภาพ"
ทั้งนี้ การประท้วงที่ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นการประท้วงทั่วประเทศในขณะนี้ ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ปธน.สี จิ้นผิงเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ และถือเป็นบททดสอบว่ารัฐบาลจีนจะเดินหน้าใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไปหรือไม่