สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในวันนี้ (26 ธ.ค.) ว่า ประชาชนที่สวมหน้ากากป้องกันโรคจำนวนมากแออัดในรถไฟใต้ดินที่กรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ โดย 2 เมืองใหญ่ที่สุดของจีนได้เริ่มเข้าสู่การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ขณะที่ประชาชนหลายล้านคนทั่วประเทศติดเชื้อ
หลังจากการบังคับใช้มาตรการต้านโควิด-19 อย่างเข้มงวดมาหลายปี ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (zero-COVID) ท่ามกลางกระแสประท้วงต่อต้านและการแพร่ระบาดที่ขยายวงกว้างขึ้น
แต่หลังจากการยกเลิกนโยบายแบบไม่ทันตั้งตัว และในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ประชาชนในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ยังคงไม่ออกจากบ้าน ไม่ว่าด้วยเหตุผลเรื่องการกักตัวเพราะติดเชื้อ หรือพยายามหลีกเลี่ยงไม่ออกไปสัมผัสเชื้อข้างนอก ก็เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่าการใช้ชีวิตเริ่มใกล้กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว
รถไฟใต้ดินในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้แน่นขนัด ขณะเดียวกัน บนถนนสายหลักหลายสายในทั้ง 2 เมืองใหญ่ดังกล่าวมีการจราจรติดขัดและรถเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากประชาชนพากันออกไปทำงานในวันนี้
เดอะ บันด์ (The Bund) แลนด์มาร์กชื่อดังในเซี่ยงไฮ้ก็คลาคล่ำไปด้วยร้านค้าและผู้คนที่มาร่วมเทศกาลคริสต์มาสตลอดช่วงสุดสัปดาห์ เช่นเดียวกันกับที่เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอในปักกิ่ง ซึ่งผู้คนมาเที่ยวพักผ่อนรับเทศกาลวันหยุดอย่างเนืองแน่นในวันอาทิตย์ (25 ธ.ค.) โดยหลายคนแต่งกายในชุดธีมคริสต์มาสแห่รอต่อคิวเล่นเครื่องเล่น
ขณะเดียวกัน ยอดทริปไปเที่ยวเมืองเมืองกว่างโจวทางตอนใต้ของจีนตลอดช่วงสุดสัปดาห์เพิ่มขึ้น 132% จากสัปดาห์ที่แล้ว จากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เดอะทเวนตีเฟิร์ส เซนจูรี บิสซิเนส เฮอรัลด์
ทั้งนี้จีนนับเป็นประเทศใหญ่ประเทศสุดท้ายที่ปรับให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยมาตรการเข้มงวดของจีนที่ผ่านมาทำให้เศรษฐกิจมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์ชะลอตัวลงสู่อัตราการเติบโตต่ำที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ กระทบไปยังห่วงโซ่อุปทานและการค้าทั่วโลก