สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในวันนี้ (28 ธ.ค.) ว่า โรงพยาบาลในจีนตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างหนักในวันนี้ เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบกับภาคสาธารณสุขของประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศใหญ่ชาติสุดท้ายที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การรับมือโควิด-19 ในฐานะโรคประจำถิ่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่มีขึ้นหลังจากการประท้วงต่อต้านนโยบายโควิด-19 อันเข้มงวดที่ขยายตัวเป็นวงกว้างนี้ หมายความว่าโรคโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดมากขึ้นโดยไม่มีการตรวจสอบ และมีแนวโน้มว่าประชาชนจะติดเชื้อหลายล้านคนต่อวัน
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานั้น จีนได้เปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหัน โดยเริ่มยกเลิกระบบควบคุมโควิดที่เข้มงวดที่สุดในโลก ทั้งการล็อกดาวน์และการตรวจโรคในวงกว้าง เพื่อทำให้เศรษฐกิจที่ซบเซาเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบอีกครั้งในปีหน้า
การยกเลิกกฎควบคุมโควิดอย่างปัจจุบันทันด่วนยังทำให้ระบบสาธารณสุขที่เปราะบางของจีนอยู่ในภาวะหนักหนาสาหัส และเป็นการแจ้งเตือนไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่อยู่ร่วมกับโรคโควิดมานานแล้ว ให้หันมาพิจารณาใช้กฎข้อจำกัดการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน และตั้งคำถามถึงตัวเลขอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีน
ทางด้านบุคลากรในโรงพยาบาลหัวซี โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมืองเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เปิดเผยว่า พวกเขาปฏิบัติงานกันอย่างหนักในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด นับตั้งแต่ยกเลิกนโยบายไปเมื่อในวันที่ 7 ธ.ค.
"ผมทำงานมา 30 ปีแล้ว และนี่คือช่วงที่เวลาที่งานยุ่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา" พนักงานขับรถพยาบาลผู้ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าว
รายงานระบุว่า ช่วงเย็นของวันอังคารที่ผ่านมามีคนรอต่อคิวเป็นจำนวนมากทั้งในและนอกแผนกฉุกเฉินและคลินิกไข้ (fever clinic) ที่อยู่ติดกันของโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เดินทางมาโดยรถพยาบาลต่างได้รับหน้ากากอออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจ