มหานครนิวยอร์กประกาศเมื่อวันพุธ (4 ม.ค.) ว่า จะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนที่รถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีอยู่กว่า 900 คัน และเตรียมติดตั้งจุดชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 315 แห่ง หลังได้รับงบประมาณ 10.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากกระทรวงคมนาคมสหรัฐ
การประกาศดังกล่าวนับเป็นครั้งล่าสุดของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐที่เร่งยกเลิกการใช้งานรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพื่อเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐในมหานครนิวยอร์กมีจำนวนมากกว่า 4,000 คัน และภายในปีนี้รถยนต์ในนิวยอร์กเกือบ 20% จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
งบประมาณล่าสุดจากกระทรวงคมนาคมจะช่วยให้มหานครนิวยอร์กสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเชฟโรเลต โบลต์ (Chevrolet Bolt) จำนวน 382 คัน, รถตู้ฟอร์ด อี-ทรานสิต (Ford E-Transit) จำนวน 360 คัน, รถกระบะฟอร์ด เอฟ-150 อี-ไลท์นิง (Ford F-150 E-Lightning) จำนวน 150 คัน และรถกวาดถนนแบบปลั๊กอินไฮบริดอีกจำนวน 25 คัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในปัจจุบันมหานครนิวยอร์กใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเชฟโรเลต โบลต์ประมาณ 850 คัน ซึ่งผลิตโดยเจเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ และรถยนต์ไฟฟ้าฟอร์ด มัสแตง มัค-อี (Ford Mustang Mach-E) อีก 200 คัน และมีจุดชาร์จไฟฟ้า 1,360 แห่ง, จุดชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว 120 แห่ง, สถานีชาร์จรถไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบตั้งพื้นอีก 106 แห่ง และวางแผนที่จะเพิ่มจุดชาร์จไฟอีก 600 แห่งภายใน 18 เดือนข้างหน้า
นายอีริก อดัมส์ นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์กกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอนาคตที่ชัดเจน และเป้าหมายของมหานครนิวยอร์กคือการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าริมทางให้ได้ 1,000 แห่งภายในปี 2568 และสถานีชาร์จไฟฟ้าอีก 10,000 แห่งภายในปี 2573
ทั้งนี้ เมื่อเดือนธ.ค. 2564 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกคำสั่งพิเศษให้รัฐบาลกลางยุติการซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2578