องค์การสหประชาชาติ (UN) รายงานว่า การปลูกฝิ่นในเมียนมากลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง หลังจากลดลงต่อเนื่องหลายปีก่อนที่กองทัพจะเข้ายึดอำนาจรัฐบาลในปี 2564 เนื่องจากความพยายามในการปราบปรามลดลง ขณะเดียวกันเศรษฐกิจที่ซบเซาก็ทำให้ประชาชนหันมาค้ายาเสพติดมากขึ้น
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) รายงานว่า เมียนมามีพื้นที่ปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้น 33% แตะ 40,100 เฮกตาร์ (ราว 99,090 เอเคอร์) ในปี 2565 ซึ่งเป็นฤดูกาลเพาะปลูกเต็มรูปแบบครั้งแรกนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของนางอองซาน ซูจี
นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนประจำภูมิภาคของ UNODC ระบุว่า "ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และธรรมาภิบาล หลังกองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อเดือนก.พ. 2564 ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่ห่างไกลและมีความขัดแย้งอย่างบริเวณรัฐฉานเหนือและรัฐชายแดนอื่น ๆ มีทางเลือกไม่มากนักนอกจากกลับไปปลูกฝิ่น"
UN ประเมินว่า มูลค่ารวมของเศรษฐกิจฝิ่นของเมียนมาอยู่ราว 660 ล้านดอลลาร์ ถึง 2 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับยอดขายในประเทศ รวมถึงปริมาณฝิ่นดิบที่ถูกนำไปแปรรูปเป็นเฮโรอีนหรือยาเสพติดประเภทอื่น ๆ
นายดักลาสเสริมว่า เมียนมาส่งออกฝิ่นส่วนใหญ่ไปยังจีนและเวียดนาม และส่งออกเฮโรอีนไปยังหลายประเทศทั่วภูมิภาค