มีผู้รอดชีวิต 9 คนจากการช่วยเหลือเมื่อวานนี้ (14 ก.พ.) หลังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังในตุรกีมานานกว่า 1 สัปดาห์ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ขณะที่ความพยายามในการกู้ภัยเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเผชิญความยากลำบาก เนื่องจากไม่มีที่พักอาศัยหรืออาหารที่เพียงพอ ท่ามกลางความโหดร้ายของสภาพอากาศที่หนาวจัด
ภัยพิบัติครั้งใหญ่ซึ่งทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมในตุรกีและซีเรียรวมกันสูงกว่า 41,000 ราย ได้สร้างความเสียหายรุนแรงให้กับเมืองต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศ และทำให้ผู้รอดชีวิตจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่อาศัย ท่ามกลางอุณหภูมิที่เย็นจัดในฤดูหนาว
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี ได้รับทราบถึงปัญหาในการรับมือเบื้องต้นต่อเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.8 แมกนิจูดที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 6 ก.พ. และระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว
ปธน.เออร์โดกันกล่าวในแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ในกรุงอังการาว่า "เรากำลังเผชิญกับ 1 ในภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดไม่เพียงแต่ในประเทศของเรา แต่ยังรวมถึงในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอีกด้วย"
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ช่วงเวลาของการกู้ภัยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และเตรียมมุ่งเน้นไปที่การให้ความช่วยเหลือด้านที่พักพิง อาหาร และสถานศึกษาแก่ผู้ประสบภัย
นายแพทย์ฮันส์ คลูจ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคยุโรปขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า "ความต้องการการช่วยเหลือนั้นมากมายมหาศาล และยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนราว 26 ล้านคนจากทั้ง 2 ประเทศต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นอกจากนี้ ยังมีความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ความสะอาดและสุขอนามัย ตลอดจนการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประชาชนกลุ่มเปราะบาง"