ตัวแทนจากหลายหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ในยูเครนได้เดินทางไปยังในแคว้นเคอร์ชอนเมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.) เพื่อประเมินผลกระทบจากการพังทลายของเขื่อนคาคอฟกา และร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
นายสเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกของนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ UN เปิดเผยว่า ตัวแทนจากสำนักงานประสานงานฝ่ายกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) ตลอดจนตัวแทนจากหน่วยงาน 5 แห่งของ UN และองค์กรพัฒนาเอกชนบางแห่ง ได้ลงพื้นที่เพื่อประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นายดูจาร์ริกกล่าวว่า "พวกเขาบอกกับเราว่า ภัยพิบัติมีแนวโน้มว่าจะเลวร้ายยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เนื่องจากระดับน้ำกำลังเพิ่มขึ้นและหมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ ถูกน้ำท่วม ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ที่สำคัญของประชาชนและเพิ่มความเสี่ยงด้านสาธารณสุขขึ้นอย่างร้ายแรง"
นายดูจาร์ริกระบุว่า จากข้อมูลขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เมื่อวันอังคาร (6 มิ.ย.) ประชาชนราว 1,500 คนต้องละทิ้งบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม และมีการอพยพผู้คนเพิ่มเติมเมื่อวานนี้ โดยผู้คนส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในเมืองมิโคลาอิฟ (Mykolaiv) ซึ่งอยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัยของพวกเขา
นายดูจาร์ริกระบุในการแถลงข่าวว่า การเข้าถึงแหล่งน้ำนับเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยประชาชนหลายแสนคนจำเป็นต้องพึ่งพาอ่างเก็บน้ำซึ่งเกิดจากเขื่อนดังกล่าวเพื่อการอุปโภคบริโภค และระดับน้ำยังลดลงอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ภาวะน้ำท่วมอาจนำไปสู่การปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพมากขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน องค์การอาหารและเกษตร (FAO) เตือนว่า การทำลายเขื่อนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากขณะนี้พื้นที่เกษตรกรรมหลายพันเฮกตาร์ถูกน้ำท่วม ซึ่งทำลายพืชผลที่เพิ่งปลูกจนเสียหาย