สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการวิจัยขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่เผยแพร่ในวันนี้ (12 มิ.ย.) โดยพบว่า ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศแทบไม่ดีขึ้นเลยตลอดช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากอคติและแรงกดดันทางวัฒนธรรมยังคงขัดขวางการเพิ่มอำนาจให้กับผู้หญิง และทำให้โลกมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายความเสมอภาคทางเพศของ UN ไม่ทันภายในปี 2573
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้ติดตามประเด็นดังกล่าวในรายงานล่าสุดผ่านดัชนีบรรทัดฐานทางสังคมทางเพศ ซึ่งใช้ข้อมูลจากโครงการวิจัยนานาชาติ "แบบสำรวจค่านิยมโลก" (WVS)
การสำรวจดังกล่าวดึงมาจากชุดข้อมูลในช่วงปี 2553-2557 และ 2560-2565 จากประเทศและดินแดนต่าง ๆ ครอบคลุม 85% ของประชากรทั่วโลก
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า เกือบ 9 ใน 10 ของผู้ชายและผู้หญิงมีอคติพื้นฐานต่อผู้หญิง โดยใน 38 ประเทศที่ทำการสำรวจ กลุ่มคนที่มีอคติทางเพศอย่างน้อยหนึ่งเรื่องลดลงเหลือเพียง 84.6% จาก 86.9% นับว่าแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของคนทั่วโลกคิดว่าผู้ชายเป็นผู้นำทางการเมืองที่ดีกว่า ในขณะที่ 43% คิดว่าผู้ชายเป็นผู้บริหารธุรกิจที่ดีกว่า
แม้ว่าการศึกษามักถูกยกย่องว่าเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจสำหรับผู้หญิง แต่ผลสำรวจกลับเผยว่ามีช่องว่างรายได้ระหว่างเพศเฉลี่ยอยู่ที่ 39% แม้กระทั่งใน 57 ประเทศที่ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ได้รับการศึกษามากกว่าผู้ชายก็ตาม ซึ่งแสดงถึงความไม่เชื่อมโยงกันระหว่างช่องว่างทางการศึกษากับรายได้
UNDP ระบุว่า อันตรายโดยตรงต่อสวัสดิภาพของผู้หญิงสะท้อนออกมาจากมุมมองเกี่ยวกับความรุนแรง โดยมีมากกว่า 1 ใน 4 เชื่อว่าการที่ผู้ชายทุบตีภรรยานั้นเป็นเรื่องชอบธรรม