ลอรีอัล กรุ๊ป เผยยอดขายมูลค่า 2.057 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้คะแนน 85 คะแนนจาก 100 จากการจัดอันดับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส โกลบอล
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า ในสถานการณ์ตลาดความงามที่คึกคักกว่าเดิม ลอรีอัล กรุ๊ปมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และสามารถเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำระดับโลกช่วงครึ่งปีแรกได้มากขึ้น ธุรกิจเติบโตในวงกว้างในทุก ๆ แผนก ภูมิภาค กลุ่มผลิตภัณฑ์ และช่องทางการขาย ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์อีกครั้งถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการที่เน้นความหลากหลายและสร้างสมดุลของเรา การเติบโตยังคงได้แรงขับเคลื่อน 2 จากปัจจัย คือ ปริมาณและมูลค่า ซึ่งพิสูจน์ความสำเร็จด้านนวัตกรรมและความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเรา เพื่อให้วงจรการดำเนินงานที่ดีของเราดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เราสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา พร้อมกันนี้ เรายังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องกับการเปลี่ยนโฉมสู่การดำเนินงานที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทั้งด้านผลประกอบการและความยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน เรายังคงตั้งเป้าสูงต่อไป มองแนวโน้มตลาดความงามสดใส เชื่อมั่นในความสามารถที่จะเติบโตเหนือตลาดต่อไป และทำให้ยอดขายและผลกำไรในปี 2566 เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ หากสรุปผลการดำเนินงานตามแผนก แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ขยายตัว 7.6% เนื่องจากได้รับปัจจัยผลักดันจากแบรนด์เคราสตาส (Kerastase) โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขจัดรังแคซิมไบโอส (Symbiose) รวมทั้งแบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L?Oreal Professionnel) ที่ประสบความสำเร็จจากเมทัล ดีท็อกซ์ (Metal Detox)
สำหรับแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค เติบโต 15.0% แบรนด์แต่ละแบรนด์เติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก โดยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางคึกคักมากที่สุดด้วยแรงหนุนจากฟอล์สซี่ เซอร์เรียล มาสคาร่า (Falsies Surreal Mascara) จาก เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) เทเลสโคปิค ลิฟต์ มาสคาร่า (Telescopic Lift Mascara) จาก ลอรีอัล ปารีส (L?Oreal Paris) ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้อานิสงส์จากกลยุทธ์ในการสร้างความพรีเมียมของแผนก โดยเฉพาะการเปิดตัวเอลวีฟ บอนด์ รีแพร์ (Elvive Bond Repair) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนกลุ่มสกินแคร์ก็เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักจากรีไวทัลลิฟต์ คลินิคัล วิตามิน ซี เอสพีเอฟ50+ (Revitalift Clinical Vitamin C SPF50+) ฟลูอิด ผลิตภัณฑ์ใหม่ของลอรีอัล ปารีส และเอเอชเอ บีเอชเอ (AHA BHA) ไลน์ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวตัวใหม่ของการ์นิเยร์ (Garnier)
ทั้งนี้ แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง ขยายตัว 7.6% กลุ่มน้ำหอมเติบโตแซงหน้าตลาด เติบโตในระดับตัวเลขสองหลักในทุกภูมิภาค จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นจากแบรนด์ระดับกูตูร์ เช่น อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent), พราด้า (Prada) และวาเลนติโน (Valentino) ส่วนในกลุ่มสกินแคร์นั้น แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงยังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความสำเร็จที่โดดเด่นของแบรนด์เฮเลนา รูบินสไตน์ (Helena Rubinstein) และการฟื้นตัวของแบรนด์ลังโคม (Lancome) ในอเมริกาเหนือ ผนวกกับความสำเร็จของทาคามิ (Takami) ในญี่ปุ่น และล่าสุดในจีน กลุ่มเครื่องสำอางก็เติบโตด้วยเช่นกันจากความสำเร็จของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์(Yves Saint Laurent) และผลการดำเนินงานจากแบรนด์ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างเออร์เบิน ดีเคย์ (Urban Decay) และชู อูเอมูระ (Shu Uemura) ส่วนแบรนด์เอสอป (Aesop) จะได้รวมข้อมูลในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อได้รับการอนุมัติตามขั้นตอน
ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 29.0% ได้รับแรงขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของแผนก ประกอบกับการเดินหน้าในการทำงานกับแพทย์และเภสัชกร โดยทุกแบรนด์เติบโตสองหลัก ทั้งลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผลักดันการเติบโตเบอร์หนึ่งของแผนกก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ไว้ได้ จากผลิตภัณฑ์เอฟฟาคลาร์ (Effaclar), ซิคาพลาส (Cicaplast) และยูวีมูน 400 (UVmune 400) ส่วนเซราวี (CeraVe) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความคึกคักมากในอเมริกาเหนือ และเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก วิชี่ (Vichy) ได้จากความสำเร็จของเดอร์คอส (Dercos) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ส่วนผลิตภัณฑ์สกินซูติคัลส์ (SkinCeuticals) ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และสกินเบทเทอร์ ไซเอนซ์ (SkinBetter Science) ที่เพิ่งซื้อกิจการมานั้น ก็เริ่มต้นได้อย่างมีศักยภาพ
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) เติบโตขึ้น 23.6%1 ภูมิภาค SAPMENA ยังคงเติบโตทั้งปริมาณและมูลค่าในระดับตัวเลขสองหลักในทุก ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์และทุกแผนก กลุ่มสกินแคร์เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขับเคลื่อนภูมิภาคนี้ จากการเติบโตของแบรนด์เซราวี และการเติบโตที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดของลา โรช-โพเซย์ เครื่องสำอางเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุดจากการฟื้นตัวของเมย์เบลลีน นิวยอร์ก ในขณะที่ผลิตภัณฑ์น้ำหอมก็ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในวงกว้างอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลอรีอัลสามารถทำยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง และเติบโตโดดเด่นในไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในเวียดนามก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางอี-คอมเมิร์ซ ในขณะที่กลุ่มกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับมีการเติบโตที่ดีในช่วงวันหยุดทางศาสนา และทุกประเทศในแอฟริกาใต้ซาฮารามีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก