องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เปิดเผยในวันนี้ (18 ส.ค.) ว่า ระดับน้ำทะเลในภูมิภาคแปซิฟิกใต้-ตะวันตกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่อหมู่เกาะที่มีพื้นที่ราบต่ำ ขณะที่ความร้อนได้สร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศทางทะเล
WMO ระบุในรายงานสภาพภูมิอากาศของภูมิภาคแปซิฟิกใต้-ตะวันตกประจำปี 2565 ว่า ระดับน้ำทะเลกำลังเพิ่มสูงขึ้นราว 4 มิลลิเมตรต่อปีในบางพื้นที่ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อย
การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลข้างต้นอาจส่งผลให้พื้นที่ราบต่ำ อาทิ ประเทศตูวาลู และหมู่เกาะโซโลมอนถูกน้ำท่วมเมื่อเวลาผ่านไป โดยจะทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่อยู่อาศัย ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยไม่สามารถย้ายยังพื้นที่ที่สูงขึ้นได้
รายงานระบุว่า คลื่นความร้อนทางทะเลเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย และทางตอนใต้ของปาปัวนิวกินี ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสรรพชีวิตในท้องทะเลและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
นายเพตเทอร์รี ทาลาส เลขาธิการของ WMO ระบุว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญ หรืออุณหภูมิผิวน้ำที่อุ่นขึ้นทางตะวันออกและตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกที่หวนกลับมาในปีนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภูมิภาค
นายทาลาสระบุในแถลงการณ์ว่า "ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภูมิภาคแปซิฟิกใต้-ตะวันตก ซึ่งมักมีความเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น รูปแบบสภาพอากาศที่แปรปรวน และคลื่นความร้อนในทะเลและปะการังฟอกขาว (coral bleaching) ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง"
รายงานระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ภูมิภาคแปซิฟิกใต้-ตะวันตกมีรายงานภัยพิบัติทางธรรมชาติ 35 ครั้ง ซึ่งรวมถึงน้ำท่วมและพายุ โดยได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 700 คน และภัยพิบัติเหล่านี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนอีกมากกว่า 8 ล้านคนด้วย