ชาวบ้านในบางพื้นที่ของโมร็อกโกต้องอาศัยอยู่ในที่พักชั่วคราวติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันจันทร์ (11 ก.ย.) หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 แมกนิจูด ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 100 ปี ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ และยอดผู้เสียชีวิตพุ่งทะลุ 2,800 ราย
สเปนและอังกฤษได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นหาและกู้ภัย พร้อมสุนัขดมกลิ่น รวมทั้งทีมเจ้าหน้าที่จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ เข้าประสานงานช่วยเหลือโมร็อกโกเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากปรักหักพังของบ้านอิฐโคลนในช่วงดึกของคืนวันศุกร์ (8 ก.ย.) โดยบ้านอิฐโคลนเป็นลักษณะเฉพาะของบ้านเรือนในแถบพื้นที่เทือกเขาแอตลาส
สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลรายงานในช่วงค่ำวันจันทร์ (11 ก.ย.) ว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 2,862 ราย และยอดผู้บาดเจ็บอยู่ที่ 2,562 ราย แต่เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว มีภูมิประเทศที่เข้าถึงได้ยาก ทางการจึงไม่ได้ประเมินตัวเลขผู้สูญหาย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในหมู่บ้านทินเมลนั้น พบว่าบ้านเรือนเกือบทุกหลังพังเสียหาย และชาวบ้านทั้งหมดไร้ที่อยู่อาศัย ขณะที่กลิ่นซากสัตว์ที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังได้ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่บางส่วนของหมู่บ้าน
ทั้งนี้ จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองมาร์ราเกซไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 72 กิโลเมตร โดยแรงสั่นสะเทือนทำลายบรรดาอาคารบ้านเรือนในย่านเมืองเก่าซึ่งถูกจัดเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO) นอกจากนี้ มัสยิดทินเมล ซึ่งเป็นศาสนสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
พื้นที่ส่วนใหญ่ของย่านเมืองใหม่ในมาร์ราเกซไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว รวมถึงสถานที่ใกล้กับสนามบินที่จัดเตรียมไว้สำหรับการประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ (IMF) และธนาคารโลกซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนหน้า โดยแหล่งข่าวระบุว่า รัฐบาลโมร็อกโกคาดหวังให้การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้น และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 10,000 คน