กูเกิลเปิดตัว เจมีไน (Gemini) โมเดลปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอเมื่อวันพุธ (6 ธ.ค.) ซึ่งเป็นโมเดลเอไอใหญ่ที่สุดและล้ำสมัยมากที่สุด ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อคำถามที่สร้างความกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า กูเกิลวางแผนจะสร้างรายได้จากเอไออย่างไร
Gemini เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งมี 3 รุ่นด้วยกัน คือ Gemini Ultra รุ่นใหญ่ที่สุดและมีความสามารถมากที่สุด ตามมาด้วย Gemini Pro รุ่นที่สามารถทำงานได้เป็นอย่างดีในขอบเขตงานที่หลากหลาย และ Genini Nano รุ่นที่ออกแบบมาสำหรับงานเฉพาะตัวและสำหรับใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
ในปัจจุบัน กูเกิลกำลังวางแผนเสนอใบอนุญาตการใช้งาน Gemini ให้แก่ลูกค้าผ่านกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไปใช้ในแอปพลิเคชันของตนเองได้ ส่วนนักพัฒนาและลูกค้าองค์กรจะสามารถเข้าถึง Gemini Pro ผ่านทาง Gemini API ใน Google AI Studio หรือ Google Cloud Vertex AI ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป
นักพัฒนาแอนดรอยด์ (Android) จะสามารถสร้างงานโดยใช้ Gemini Nano ได้ด้วยเช่นกัน โดย Gemini Nano มีบทบาทในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของกูเกิล เช่น แชตบอตเอไออย่าง บาร์ด (Bard) และ Search Generative Experience หรือ SGE ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองต่อคำค้นหาด้วยข้อความในลักษณะการสนทนา อย่างไรก็ตาม SGE ยังไม่เปิดให้บริการในวงกว้างในขณะนี้
บริษัทและองค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จาก Gemini เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมในการบริการลูกค้าผ่านแชตบอตและคำแนะนำผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เพื่อบ่งชี้แนวโน้มสำหรับบริษัทในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ตรงเป้าหมาย โดย Gemini สามารถใช้สำหรับสร้างเนื้อหาได้ หากบริษัทต้องการสร้างแคมเปญการตลาดหรือเนื้อหาในบล็อก ยิ่งไปกว่านั้น แอปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของ Gemini ในการสรุปการประชุมหรือสร้างโค้ดสำหรับนักพัฒนา
ทั้งนี้ กูเกิลยังได้ยกตัวอย่างรวมถึงการแสดงความสามารถของ Gemini ซึ่งสามารถจับภาพหน้าจอของแผนภูมิและวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยหลายร้อยหน้าได้ จากนั้นก็จะทำการอัปเดตแผนภูมิตามนั้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การวิเคราะห์ภาพถ่ายการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ โดยสามารถระบุคำตอบที่ถูกต้อง และช่วยแก้ไขคำตอบที่ผิดด้วย