สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดการณ์ว่า ผลกำไรของอุตสาหกรรมการบินจะทรงตัวในปี 2567 เนื่องจากการเดินทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะถูกบดบังโดยต้นทุนเงินทุนที่ระดับสูงและข้อจำกัดด้านความจุผู้โดยสาร
อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างมากจากช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคอเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และยุโรป หลังจากที่เครื่องบินต้องงดให้บริการและนักท่องเที่ยวลังเลที่จะเดินทางในช่วงที่เกิดโรคระบาด
IATA ระบุว่า อุตสาหกรรมการบินกลับมามีความสามารถในการทำกำไรในปี 2566 โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.33 หมื่นล้านดอลลาร์และมีอัตรากำไรขั้นต้น 2.6% และคาดว่ากำไรในปี 2567 จะแตะ 2.57 หมื่นล้านดอลลาร์ และอัตรากำไรขั้นต้นแตะ 2.7%
แม้รายได้มีแนวโน้มจะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.64 แสนล้านดอลลาร์ แต่ต้นทุนเงินทุนที่สูงซึ่งเกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวล
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้โดยสารทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่าจะมีผู้โดยสารมากกว่า 4.7 พันล้านคนในปี 2567 เมื่อเทียบกับ 4.5 พันล้านคนในปี 2562
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวในหลายประเทศยังฟื้นตัวล่าช้า เช่น จีนซึ่งการเดินทางระหว่างประเทศยังต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ถึง 40% และคาดว่าจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งในปี 2567
IATA เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพในระดับโลก รวมถึงสงครามอิสราเอล-ฮามาส และสงครามยูเครน อาจส่งผลเสียต่อภาคอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่ยังคงผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินคิดเป็นสัดส่วน 31% ของต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมดของสายการบิน