สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กูเกิล กำลังปรับเปลี่ยนกูเกิล แมปส์ (Google Maps) เพื่อที่บริษัทจะไม่สามารถเข้าถึงประวัติตำแหน่งของผู้ใช้แต่ละคนได้อีกต่อไป รวมถึงจะทำให้บริษัทไม่มีข้อมูลที่จะตอบสนองต่อคำขอของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ที่ขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งานที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่มีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้น
กูเกิลระบุในบล็อกโพสต์ในสัปดาห์นี้ว่า บริษัทกำลังอัปเดตฟีเจอร์ประวัติตำแหน่งในกูเกิล แมปส์ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้จดจำได้ว่าเคยไปสถานที่ใดมาบ้าง โดยกูเกิลกล่าวว่าฟีเจอร์นี้ปิดไว้ตามค่าเริ่มต้น
กูเกิลประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) ว่า สำหรับผู้ใช้ที่เลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ข้อมูลตำแหน่งจะถูกจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรงในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นการบล็อกไม่ให้กูเกิลสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ และจะเป็นการป้องกันไม่ให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเรียกร้องขอข้อมูลดังกล่าวจากกูเกิลได้
"ข้อมูลตำแหน่งของคุณถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล เรามุ่งมั่นที่จะรักษาข้อมูลดังกล่าวให้ปลอดภัย เป็นส่วนตัว และอยู่ในการควบคุมของคุณ" นายมาร์โล แม็คกริฟฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของกูเกิล แมปส์ ชี้แจงในบล็อกโพสต์
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีขึ้น 3 เดือนหลังจากที่นิตยสารบลูมเบิร์ก บิสสิเนสวีก ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่รายงานข่าวข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึก สืบสวนพบว่าตำรวจทั่วสหรัฐส่งคำขอไปยังกูเกิลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เข้าถึงตำแหน่งและข้อมูลการค้นหา โดยกรณีนี้เกิดขึ้นแม้กระทั่งเป็นคดีที่ไม่รุนแรง และแม้แต่บุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับอาชญากรรม
นางเจนนิเฟอร์ ลินช์ ที่ปรึกษาทั่วไปของมูลนิธิ อิเล็กทรอนิก ฟรอนเทียร์ องค์กรไม่แสวงผลกำไรในซานฟรานซิสโกที่ปกป้องเสรีภาพของพลเมืองดิจิทัล กล่าวว่า "มันถึงเวลาแล้ว เราเรียกร้องให้กูเกิลดำเนินการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาหลายปีแล้ว และเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ สำหรับผู้ใช้กูเกิล เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ประวัติตำแหน่งได้โดยไม่ต้องกังวลว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนั้น"
ทั้งนี้ กูเกิลกล่าวว่า จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในปีหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) และไอโอเอส (iOS) โดยผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีการอัปเดตในบัญชีของตน และเมื่อการอัปเดตเสร็จสมบูรณ์แล้ว กูเกิลจะไม่สามารถปฏิบัติตามคำขอเรื่องขอบเขตตำแหน่งใหม่ได้ ซึ่งรวมถึงผู้ใช้ที่เลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลสำรองที่เข้ารหัสของข้อมูลตำแหน่งของตนไว้ในระบบคลาวด์