บรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความพยายามทั่วโลกในการชะลอภัยพิบัติด้านสภาพอากาศอาจมาถึงจุดที่สำคัญในปีที่แล้ว ขณะที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการใช้พลังงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดทั่วโลก
เว็บไซต์เดอะการ์เดียน.คอมรายงานว่า นักวิเคราะห์ด้านสภาพอากาศจำนวนมากขึ้นเชื่อว่า ปี 2023 อาจจะถูกบันทึกให้เป็นปีที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปีแตะระดับสูงสุด ก่อนที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
การปล่อยก๊าซคาร์บอนแตะระดับสูงสุดได้ถูกพิจารณาว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการผลักดันการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศจำนวนมากนั้น จุดเปลี่ยนดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงอย่างรวดเร็วตามที่โลกต้องการ
นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศชั้นนำของโลกเตือนอยู่เสมอว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนปี 2023 นับเป็นเรื่องสำคัญ หากผู้นำหวังว่าจะรักษาอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ตั้งความหวังเมื่อต้นปีนี้เกี่ยวกับการสิ้นสุดยุคเชื้อเพลิงฟอสซิล เมื่อคาดการณ์เป็นครั้งแรกว่า การใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน จะถึงระดับสูงสุดก่อนปี 2030 และจะเริ่มลดลงเมื่อนโยบายสภาพภูมิอากาศมีผลบังคับใช้
รายงานจากบริษัทเอ็มเบอร์ (Ember) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านพลังงานระบุว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการผลิตไฟฟ้าแตะระดับสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และอาจจะเริ่มลดลงตั้งแต่ปีหน้า
รายงานระบุว่า การผลิตไฟฟ้าของ 78 ประเทศซึ่งคิดเป็น 92% ของความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกนั้น เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น 16% และจากพลังงานลมเพิ่มขึ้น 10%
นอกจากนี้ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะเริ่มลดความต้องการเชื้อเพลิงรถยนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของความต้องการน้ำมันในประเทศพัฒนาแล้ว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จำเป็นจะต้องมีความก้าวหน้าอย่างมากในการจัดการกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ของโลก แต่นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปนั้น ก็มีโอกาสสูงที่อย่างน้อยประเทศต่าง ๆ จะดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง