โรงพยาบาลในนิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนีย, อิลลินอยส์ และแมสซาชูเซตส์ ได้นำข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยกลับมาใช้อีกครั้ง โดยทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการทางการแพทย์ต้องสวมหน้ากากขณะอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิด ไข้หวัดใหญ่ และโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ดร.แอชวิน วาซาน กรรมการสาธารณสุขนิวยอร์กซิตีเปิดเผยกับ WABC TV เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.) ว่า ข้อบังคับดังกล่าวครอบคลุมถึงโรงพยาบาลรัฐทั้งหมด 11 แห่ง ศูนย์สุขภาพ 30 แห่ง และสถานดูแลผู้สูงอายุ 5 แห่ง
"สิ่งที่เราไม่อยากเจอนั่นคือการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ใช่ไหม ในช่วงการระบาดของไวรัสโอมิครอนในปี 2565 ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่แค่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคลากรด่านหน้าจำนวนมากที่ติดโควิดอีกด้วย" ดร.วาซานกล่าว
ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่วันที่ 17-23 ธ.ค. มีผู้ป่วยโควิดเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกิน 29,000 คน และผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่กว่า 14,700 คน
อนึ่ง การบังคับสวมหน้ากากเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งในสังคมสหรัฐในช่วงที่โควิดระบาด โดยฝั่งที่มองว่าหน้ากากอนามัยแทบไม่ช่วยระงับการแพร่ระบาดของโควิดนั้นรู้สึกโกรธที่ถูกบังคับให้ใส่ ขณะที่ฝั่งคนยอมสวมหน้ากากก็ไม่พอใจ โดยรู้สึกว่าสุขภาพของตนกำลังตกอยู่ในอันตรายจากคนที่ไม่ยอมสวมหน้ากาก
ทั้งนี้ CDC ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 1.1 ล้านคนเสียชีวิตจากโควิด ซึ่งสูงกว่าอัตราการเสียชีวิตในประเทศที่ร่ำรวยอื่น ๆ เป็นส่วนใหญ่