สำนักข่าว CNA ของสิงคโปร์รายงานข้อมูลเบื้องต้นเมื่อวานนี้ (28 ก.พ.) ว่า อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมของชาวสิงคโปร์ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.97 ในปี 2566 ต่ำกว่าสถิติเดิมของปี 2565 ที่ 1.04 และของปี 2564 ที่ 1.12 และถือเป็นครั้งแรกที่อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมลดลงต่ำกว่า 1.0
นางสาวอินทรานี ราจาห์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (PMO) กล่าวในรัฐสภาเมื่อวานนี้ว่า "มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้อัตราการเจริญพันธุ์ของสิงคโปร์ต่ำลง บางสาเหตุเป็นเรื่องชั่วคราว เช่น คู่รักที่แผนการแต่งงานต้องหยุดชะงักเพราะโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องเลื่อนแผนการมีลูกออกไปด้วย"
นางสาวราจาห์เสริมว่า คนอื่น ๆ เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก ความกดดันในการเป็นพ่อแม่ที่ดี ตลอดจนปัญหาในการจัดการระหว่างงานกับความรับผิดชอบต่อครอบครัว
นางสาวราจาห์กล่าวถึงแผนของ PMO ว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาเพิ่มวันลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแบบมีค่าจ้าง
"เราต้องตระหนักว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนในที่ทำงาน และนายจ้างอาจเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงานเมื่อพนักงานลางานเป็นเวลานาน" นางสาวราจาห์กล่าว
สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร นางสาวราจาห์กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและครอบครัว (MSF) จะลดเพดานค่าธรรมเนียมการดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็กที่รัฐเป็นผู้สนับสนุนลง 40 ดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2568 ตามที่ประกาศไว้ในงบประมาณปี 2567
นอกจากนี้ นางสาวราจาห์ยังชี้ให้เห็นถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ประกาศในงบประมาณปี 2566 เพื่อเพิ่มการสนับสนุนพ่อแม่และครอบครัว เช่น การเพิ่มสิทธิวันลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรสำหรับบิดาโดยที่รัฐบาลจ่ายค่าจ้างให้เป็นเวลา 4 สัปดาห์
ทั้งนี้ นางสาวราจาห์ระบุว่า อัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำของสิงคโปร์สะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ระดับโลกที่ลำดับความสำคัญของแต่ละคนและบรรทัดฐานของสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว