มหาวิทยาลัยสหพันธรัฐออสเตรเลียออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) ว่า นักวิจัยพบซากนกเพนกวินอาเดลี (Adelie penguin) อย่างน้อย 532 ตัวระหว่างการเดินทางสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่ทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อเดือนที่แล้ว และน่าจะมีอีกหลายพันตัวที่ตายแล้ว โดยสาเหตุคาดว่ามาจากไวรัสไข้หวัดนก H5N1
อย่างไรก็ดี ทางมหาลัยฯ ระบุว่า การทดสอบภาคสนามยังไม่สามารถสรุปผลได้ว่านกเพนกวินอาเดลีเหล่านี้ตายเพราะไข้หวัดนก จึงได้ส่งตัวอย่างเชื้อไปยังห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เพื่อทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม โดยหวังว่าจะได้คำตอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์กังวลเป็นพิเศษว่าไข้หวัดนก H5N1 อาจทำลายนกเพนกวินสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ รวมถึงสัตว์ชนิดอื่น ๆ ในทวีปแอนตาร์กติกา
ทั้งนี้ โรคไข้หวัดนกแพร่ระบาดในสัตว์ป่าได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เคย นับตั้งแต่พบครั้งแรกในอเมริกาใต้ในปี 2565 และลุกลามมายังแอนตาร์กติกาอย่างรวดเร็ว โดยพบเคสแรกที่ได้รับการยืนยันเมื่อเดือนก.พ.
เมแกน เดวาร์ นักชีววิทยาสัตว์ป่าจากมหาวิทยาลัยสหพันธรัฐออสเตรเลีย ผู้เข้าร่วมในการสำรวจครั้งล่าสุด ให้สัมภาษณ์กับทางรอยเตอร์ว่า พบซากนกเพนกวินอาเดลีในสภาพแข็งตัวจากอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส และถูกปกคลุมด้วยหิมะบนเกาะเฮโรอีนา
เดวาร์และทีมนักวิจัยเล็ก ๆ ไม่สามารถนับจำนวนซากทั้งหมดบนเกาะเฮโรอีนาได้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะมีนกเพนกวินอาเดลีหลายพันตัวที่ตายลงในช่วงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนที่ผ่านมา
เดวาร์กล่าวว่า เกาะเฮโรอีนาเป็นที่ที่กลุ่มนกเพนกวินอาเดลีประมาณ 280,000 คู่จะผสมพันธุ์ในแต่ละปี หลังจากผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ฝูงนกเพนกวินที่มีชีวิตก็ย้ายออกไปก่อนที่คณะสำรวจจะมาถึง
คณะสำรวจของเดวาร์พบเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5 บนคาบสมุทรแอนตาร์กติกและเกาะใกล้เคียงอีก 3 แห่งในตัวนกทะเลสกัว ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าที่กินไข่และลูกนกเพนกวินเป็นอาหาร
อนึ่ง ข้อมูลการสำรวจแอนตาร์กติกของอังกฤษระบุว่า ในแต่ละปีมีนกเพนกวินประมาณ 20 ล้านคู่ผสมพันธุ์ในแอนตาร์กติกา รวมถึงนกเพนกวินจักรพรรดิ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เกรงว่าจะสูญพันธุ์ภายในสิ้นคริสต์ศตวรรษนี้เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำแข็งทะเลละลาย โดยเมื่อปี 2565 การละลายของน้ำแข็งทะเลทำให้ลูกนกเพนกวินจักรพรรดินับพันตัวจมน้ำตาย
เดวาร์กล่าวว่า ตอนนี้นกเพนกวินจักรพรรดิอาจเผชิญกับภัยคุกคามเพิ่มเติมจากโรคไข้หวัดนก
"ขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่นกเพนกวินจักรพรรดิจะได้รับผลกระทบในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า" เดวาร์กล่าว