ผลการศึกษาจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) ระบุว่า อัตราการฆ่าตัวตายในเด็กก่อนวัยรุ่นอายุระหว่าง 8-12 ปีในสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2% ต่อปีในช่วงปี 2551-2565 และเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มเด็กหญิง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักวิจัยจาก NIH ได้ตรวจสอบรายงานการฆ่าตัวตายในเด็กก่อนวัยรุ่นระหว่างปี 2544-2565 ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) และผลการศึกษาดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ JAMA Network Open
ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่า การฆ่าตัวตายในเด็กก่อนวัยรุ่นในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าสู่ระดับ 1,759 คน หรือ 5.7 คนต่อเด็กหนึ่งล้านคน ในช่วงระยะเวลา 14 ปีนับตั้งแต่ปี 2551-2565 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 482 คน หรือ 3.34 คนต่อเด็กหนึ่งล้านคน ในช่วงปี 2544-2550
นางลิซา โฮโรวิตซ์ ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยดังกล่าว และผู้อำนวยการด้านความปลอดภัยและคุณภาพของผู้ป่วย ภายใต้โครงการวิจัยของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า "น่าตกใจที่แนวโน้มดังกล่าวเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็ก ๆ"
นางโฮโรวิตซ์ระบุว่า เด็กก็เข้าถึงโซเชียลมีเดียได้เช่นเดียวกับวัยรุ่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็ก ๆ ได้
นอกจากนี้ คณะนักวิจัยพบว่า มีเด็กเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 2,241 คนในระหว่างปี 2544-2565 โดย 68% ของเด็กที่เสียชีวิตเป็นเด็กชาย
นางโฮโรวิตซ์ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนให้บรรดากุมารแพทย์ต้องเริ่มคัดกรองความเสี่ยงการฆ่าตัวตายในเด็ก ซึ่งอาจมีอายุน้อยเพียง 10 ขวบเท่านั้น
"วิธีป้องกันไม่ให้เด็กฆ่าตัวตายที่ดีที่สุดคือการถามตรง ๆ และให้ความสำคัญกับทุกคำตอบที่บ่งบอกถึงความเสี่ยง จากนั้นจึงให้ความช่วยเหลือแก่เด็ก ๆ" นางโฮโรวิตซ์กล่าว พร้อมกับระบุว่า การแทรกแซงเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายควรมีความเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กและความหลากหลายทางวัฒนธรรม