ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาพยนตร์ฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ได้สูญเสียความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐอเมริกา
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานเมื่อวันอังคาร (20 ส.ค.) ว่า ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดของบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ อย่าง "Deadpool & Wolverine" ได้สร้างกระแสไปทั่วโลกนับตั้งแต่เข้าฉายเมื่อวันที่ 22 ก.ค. แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกันในตลาดจีน
ซีเอ็นบีซีรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ maoyan.com ว่า ภาคต่อของหนังซูเปอร์ฮีโร่ทำรายได้ไป 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 20 วันแรกที่ฉายในจีน แต่หนังจีนแนวตลกดราม่าอย่าง "Successor" กวาดรายได้มากกว่านั้นถึง 6 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์ระบุว่า ภาพยนตร์ฮอลลีวูดส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่ามีอิทธิพลลดลงในจีนตั้งแต่ก่อนปี 2563 และสถานการณ์โควิดก็ทำให้แนวโน้มดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้น
"จีนเรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้จากฮอลลีวูด ตอนนี้จีนสามารถสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ต้นทุนสูงที่มีสเปเชียลเอฟเฟกต์สมจริง หรือแม้แต่ภาพยนตร์แอนิเมชันดี ๆ จีนจึงไม่ต้องการฮอลลีวูดอีกต่อไป" สแตนลีย์ โรเซน ศาสตราจารย์สาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย กล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพยนตร์จีนอย่าง "Successor" ยังมีข้อได้เปรียบอย่างมากในบ้านตัวเอง โดย ศ.โรเซน กล่าวว่า "ผู้ชมชาวจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว ต้องการรับชมเรื่องราวใกล้ตัวที่เข้าถึงได้ อย่างภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจีนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง"
นอกเหนือจากภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวใกล้ตัวและสะท้อนวัฒนธรรมจีนแล้ว ภาพยนตร์แนวชาตินิยมและรักชาติก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง "The Battle at Lake Changjin" ในปี 2564 และ "Wolf Warrior 2" ในปี 2560
"ความรักชาติของชาวจีนเพิ่มพูนขึ้นตามสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการ 'แบ่งขั้ว' ของสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก" ซีเอ็นบีซีระบุ
อิ่ง จู ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์จีน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฮอลลีวูดได้รับการตอบรับน้อยลงเรื่อย ๆ ในตลาดจีน
"ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังคงดำเนินอยู่ เป็นปัจจัยพื้นฐานอย่างหนึ่งที่บั่นทอนความกระตือรือร้นของชาวจีนที่มีต่อวัฒนธรรมป๊อปอเมริกัน ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์"