สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานในวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) ว่า อัตราการฆ่าตัวตายในอังกฤษและเวลส์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี โดยมีคนฆ่าตัวตาย 6,069 รายในปี 2566 หรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 11.4 ต่อประชากร 100,000 คน เทียบกับ 10.7 ต่อประชากร 100,000 คนในปี 2565
รายงานระบุว่า อัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มผู้ชายสูงกว่าในกลุ่มผู้หญิง แต่อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในกลุ่มผู้หญิงเพิ่มขึ้นเป็น 5.7 ต่อประชากร 100,000 คนในปี 2566 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2537 โดยการฆ่าตัวตายพบมากที่สุดในกลุ่มผู้ชายอายุ 45-49 ปี และในกลุ่มผู้หญิงอายุ 50-54 ปี
ขณะเดียวกัน อัตราการฆ่าตัวตายในแถบตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษสูงกว่าในกรุงลอนดอนถึงสองเท่า
คีธ เบเกอร์ นักสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ คาเลโดเนียน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า วิกฤตค่าครองชีพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กดดันให้คนตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง
"สาเหตุหลักยังคงเป็นปัญหาเดิม ๆ ทั้งค่าครองชีพและความยากลำบากในการหางานทำ ไม่ใช่แค่งานอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นงานที่ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจและมีเป้าหมายด้วย" เบเกอร์กล่าว "ปัญหาอีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ชายมักหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพจิต ปัญหานี้แพร่หลายแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง"
"การขอรับบริการด้านสุขภาพจิตในระบบสาธารณสุขแห่งชาติต้องรอนาน โดยอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือ ทั้งที่การสนับสนุนและการสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตโดยทันทีสามารถช่วยพลิกสถานการณ์ได้" เบเกอร์กล่าวเสริม เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
วาเฮ นาฟิลยาน หัวหน้าฝ่ายข้อมูลและการวิเคราะห์ แผนกการดูแลทางสังคมและสุขภาพของ ONS กล่าวว่า "การฆ่าตัวตายส่งผลกระทบร้ายแรงต่อบุคคล ครอบครัว และชุมชน ดังนั้น เราจะยังคงติดตามข้อมูลการฆ่าตัวตายอย่างใกล้ชิดต่อไป"