โครงการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service: C3S) ของสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า เดือนส.ค. 2567 ทำสถิติเป็นเดือนส.ค.ที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ เท่ากับเดือนส.ค. 2566 โดยมีอุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยอยู่ที่ 16.82 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนส.ค.ปี 2534-2563 อยู่ 0.71 องศาเซลเซียส
ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า เดือนส.ค. 2567 มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.51 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (พ.ศ. 2393-2443) โดยนับเป็นครั้งที่ 13 ในรอบ 14 เดือน ที่อุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม อันเป็นเพดานสำคัญที่กำหนดไว้ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
ขณะเดียวกัน ข้อมูลนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ชี้ให้เห็นว่า ปี 2567 มีแนวโน้มว่าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกระหว่างเดือนม.ค.-ส.ค. สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2534-2563 อยู่ 0.7 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว
C3S เน้นย้ำว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้จะต้องลดลงอย่างน้อย 0.3 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดแซงหน้าปี 2566 แต่คาดว่าคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ผ่านมา
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ซาแมนธา เบอร์เกสส์ รองผู้อำนวยการ C3S กล่าวว่า "ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับเดือนมิ.ย.และส.ค.ที่ร้อนที่สุด รวมถึงวันที่ร้อนที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ และฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ อุณหภูมิที่ร้อนเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันนี้ทำให้มีแนวโน้มสูงขึ้นที่ปี 2567 จะเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์"
เบอร์เกสส์เน้นย้ำว่า สภาพภูมิอากาศสุดขั้วอันเนื่องมาจากอุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนนี้ เป็นลางบอกเหตุถึงผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและสร้างความเสียหายมากขึ้น เว้นแต่ว่าจะมีการใช้มาตรการเร่งด่วนต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก