โครงการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service: C3S) ของสหภาพยุโรป (EU) เปิดเผยในวันนี้ (7 พ.ย.) ว่า แทบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ปี 2567 จะเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ แซงหน้าปี 2566
ทั้งนี้ บันทึกสถิติของ C3S ย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2483 และมีการตรวจสอบยืนยันกับบันทึกอุณหภูมิทั่วโลกย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2393
C3S ระบุว่า ในช่วงเดือนม.ค.-ต.ค. อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงมาก จนปี 2567 จะเป็นปีที่โลกร้อนที่สุด เว้นแต่ว่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยอุณหภูมิต้องลดลงจนเกือบแตะศูนย์
"สาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังสถิติโลกร้อนในปีนี้คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" คาร์โล บวนเทมโป ผู้อำนวยการ C3S กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ "สภาพภูมิอากาศกำลังร้อนขึ้นในทุกทวีปและทุกแอ่งมหาสมุทร เราจึงจะเห็นการทำลายสถิติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้"
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ปี 2567 จะเป็นปีแรกที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม (พ.ศ. 2393-2443) ซึ่งเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับอุตสาหกรรม
ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ก่อนที่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) จะเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์หน้าที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน ซึ่งนานาประเทศจะพยายามตกลงกันเรื่องการเพิ่มเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ทำให้ความคาดหวังต่อการเจรจาลดน้อยลง เนื่องจากทรัมป์เคยกล่าวว่า เขาไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน