ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวแถลงการณ์จากทำเนียบขาวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) โดยได้วางนโยบาย 3 แนวทางสำหรับอนาคต ขณะที่กองกำลังฝ่ายค้านในซีเรียยึดครองกรุงดามัสกัส เมืองหลวงซีเรียได้สำเร็จ
กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ของซีเรีย ได้เดินทางออกจากซีเรียและลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว พร้อมเรียกร้องให้มีการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปธน.ไบเดนระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะช่วยปกป้องพันธมิตรในภูมิภาค ทั้งจอร์แดน เลบานอน อิรัก และอิสราเอล จากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้
ประการที่สอง สหรัฐฯ จะช่วยรักษาเสถียรภาพในซีเรียตะวันออก ปกป้องบุคลากรจากภัยคุกคาม และดำเนินภารกิจต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ต่อไป โดยปธน.ไบเดนย้ำว่า "เราตระหนักดีว่ากลุ่ม ISIS อาจฉวยโอกาสจากสุญญากาศทางอำนาจเพื่อสร้างฐานที่มั่น เราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น"
ประการสุดท้าย สหรัฐฯ จะเจรจากับทุกกลุ่มในซีเรีย โดยร่วมมือกับสหประชาชาติ (UN) เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลปธน.อัสซาด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปธน.ไบเดนเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 2 เดือนก่อนที่จะหมดวาระ จึงยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้มากน้อยเพียงใด
ด้านโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีต่อสถานการณ์ว่า สหรัฐฯ ไม่ควรเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในซีเรีย "ซีเรียกำลังวุ่นวาย แต่พวกเขาไม่ใช่มิตรของเรา สหรัฐฯ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย นี่ไม่ใช่สงครามของเรา ปล่อยให้มันจบไปตามทางของมัน อย่าเข้าไปยุ่ง!" ทรัมป์กล่าวผ่านทรูธโซเชียล (TruthSocial) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเอง