ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ปรับเพิ่มเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐฯ สำหรับทศวรรษหน้า แต่ความพยายามผลักดันพลังงานสะอาดอาจถูกขัดขวางโดยรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ฟอกซ์นิวส์รายงานว่า ในปี 2564 ไบเดนได้กำหนดเป้าหมายให้สหรัฐฯ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50-52% จากระดับในปี 2548 ภายในปี 2573
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความตกลงปารีสซึ่งสหรัฐฯ ยังคงเป็นภาคีอยู่ แต่ละประเทศจำเป็นต้องส่งแผนการมีส่วนร่วมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศ (Nationally Determined Contribution - NDC) ทุก ๆ 5 ปี
โดยล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (19 ธ.ค.) ไบเดนได้กำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อมุ่งลดการปล่อยมลพิษลงอีกภายในทศวรรษหน้า ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 61-66% ภายในปี 2578 และได้ยื่นต่อสำนักเลขาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายของไบเดนภายใต้ NDC
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์กันว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจถูกยกเลิกทันทีเมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง เพราะทรัมป์เคยเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์โพลิติโก (Politico) ในช่วงของการหาเสียงว่า เขาพร้อมที่จะถอนตัวออกจากความตกลงปารีสอีกครั้งเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งนั่นอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายใหม่ด้านสภาพภูมิอากาศของไบเดน
ทั้งนี้ ความตกลงปารีสจัดทำขึ้นในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2558 โดยเป็นสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่าง 195 ประเทศที่มุ่งมั่นร่วมมือกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐฯ ได้เข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวเป็นครั้งแรกภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาในปี 2559 แต่ต่อมาได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงภายใต้การนำของทรัมป์ในปี 2563
หากทรัมป์ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้อีกครั้ง ก็คาดว่าการถอนตัวครั้งนี้อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าครั้งแรก