คณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นอนุมัติร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ตำรวจและกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ทำลายเซิร์ฟเวอร์ของศัตรูในกรณีที่เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าหมายมาที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการป้องกันล่วงหน้าต่อการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ร่างกฎหมายป้องกันทางไซเบอร์ฉบับดังกล่าวซึ่งจะยื่นต่อสภานิติบัญญัติต่อไปนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รัฐบาลมีเครื่องมือมากขึ้นในการต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีต่อความมั่นคงของชาติ โดยญี่ปุ่นมีเป้าหมายที่จะยกระดับศักยภาพด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เทียบเท่ากับสหรัฐฯ และประเทศใหญ่ ๆ ในยุโรป
ตำรวจจะเป็นด่านแรกที่จัดการกับเซิร์ฟเวอร์ของศัตรู ขณะที่หน่วยไซเบอร์ของ SDF จะเข้ามาดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีในกรณีที่ต้องพึ่งพาความเชี่ยวชาญของพวกเขา ซึ่งสถานการณ์ที่จะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของ SDF นั้นยกตัวอย่างเช่น การโจมตีทางไซเบอร์ที่วางแผนมาเป็นอย่างดีโดยหน่วยงานของรัฐบาลต่างชาติ และมุ่งโจมตี "คอมพิวเตอร์ที่สำคัญ" เช่น คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลกลางและท้องถิ่น ผู้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานหลัก ๆ ตลอดจน SDF และกองกำลังสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้ผู้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น โครงข่ายไฟฟ้าและทางรถไฟ ต้องรายงานต่อรัฐบาลหากเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะลงโทษผู้ดำเนินการที่ไม่รายงาน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำข้อมูลที่รวบรวมมาระหว่างการเฝ้าระวังรั่วไหล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวจะเปิดทางให้รัฐบาลตรวจสอบการสื่อสารดิจิทัล จึงก่อให้เกิดข้อกังวลว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญซึ่งว่าด้วยการรักษาความลับของการสื่อสาร