ผลการศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (12 ก.พ.) แสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจว่า โอเซมปิก (Ozempic) ซึ่งเป็นยารักษาเบาหวานในกลุ่ม GLP-1 ของบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) อาจช่วยบรรเทาความผิดปกติจากการดื่มแอลกอฮอล์ (alcohol use disorder) ได้
ผลการศึกษาดังกล่าวได้จากการทดลองทางคลินิกขนาดเล็กระยะเวลา 9 สัปดาห์ โดยมีอาสาสมัคร 48 คนที่มีภาวะผิดปกติจากการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางถึงรุนแรงเข้าร่วม อาสาสมัครแต่ละคนจะได้รับยา Ozempic หรือยาหลอกสัปดาห์ละครั้ง
ในช่วงก่อนเริ่มการทดลอง คณะผู้วิจัยได้จัดสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายให้อาสาสมัครได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตนเองชื่นชอบเป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นได้มีการทดสอบการดื่มอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดการทดลอง ซึ่งพบว่า ผู้เข้าร่วมที่ได้รับยา Ozempic มีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเริ่มต้น ต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาหลอกซึ่งไม่พบการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกัน ตามผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Psychiatry
ถึงแม้ยา Ozempic จะสามารถบรรเทาความอยากดื่มแอลกอฮอล์รายสัปดาห์ของผู้เข้าร่วมการศึกษาได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาจำนวนวันที่มีการดื่มแอลกอฮอล์ กลับไม่พบความแตกต่างที่โดดเด่นระหว่างสองกลุ่ม และเมื่อคำนวณปริมาณการดื่มเฉลี่ยต่อวันตลอดช่วงการศึกษา ทั้งสองกลุ่มต่างก็มีปริมาณการดื่มที่ลดลงในระดับใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำมาคำนวณเฉพาะในวันที่มีการดื่ม กลุ่มที่ได้รับ Ozempic มีปริมาณการดื่มที่ลดลงอย่างชัดเจนกว่า นอกจากนี้ เมื่อติดตามผลในระยะยาว กลุ่มที่ได้รับ Ozempic ยังมีจำนวนวันที่ดื่มในปริมาณมาก (โดยกำหนดว่าเป็นการดื่มตั้งแต่ 4 แก้วขึ้นไปสำหรับผู้หญิง และ 5 แก้วขึ้นไปสำหรับผู้ชาย) ลดน้อยลงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ดร. คลารา ไคลน์ หัวหน้าคณะวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา กล่าวว่า ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจของเซมากลูไทด์ (semaglutide) ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่พบในทั้ง Ozempic และ Wegovy (ยาลดน้ำหนักความเข้มข้นสูงของโนโว นอร์ดิสก์) รวมถึงยากลุ่มเดียวกัน ในการรักษาภาวะผิดปกติจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งยังขาดวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน ยารักษาเบาหวานและยาลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้ยารุ่นใหม่ กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบเพื่อประโยชน์ในการรักษาปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ อาทิ การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
"แม้ผลการวิจัยเบื้องต้นจะให้ความหวังเป็นอย่างมาก แต่เราจำเป็นต้องขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่หลากหลายมากขึ้น และติดตามผลในระยะยาว" ไคลน์กล่าว