ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ รายงานในวันศุกร์ (21 ก.พ.) ว่า จำนวนผู้ป่วยโรคหัดในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 93 รายแล้ว จาก 14 รายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยส่วนใหญ่มาจากการระบาดในรัฐเท็กซัส
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การระบาดในเขตเกนส์ รัฐเท็กซัส ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 22 รายเมื่อวันที่ 11 ก.พ. เป็น 57 ราย ได้สร้างความกังวลว่า อาจแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของรัฐ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยโรคหัดในเท็กซัสโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 90 รายเมื่อวันศุกร์
กระทรวงบริการสุขภาพแห่งรัฐเท็กซัสระบุย้ำอีกครั้งจากสัปดาห์ที่แล้วว่า มีแนวโน้มที่จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากการระบาดในเขตเกนส์ยังคงดำเนินต่อไป
CDC ระบุว่ามีรายงานผู้ติดเชื้อจากรัฐอะแลสกา แคลิฟอร์เนีย จอร์เจีย นิวเจอร์ซีย์ นิวเม็กซิโก นิวยอร์กซิตี โรดไอแลนด์ และเท็กซัส
นอกจากนี้ CDC ระบุเสริมว่า 95% ของผู้ป่วยเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ทราบสถานะการฉีดวัคซีน ขณะที่ 4% ของผู้ป่วยทั้งหมดได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) เพียง 1 เข็ม และไม่มีผู้ป่วยรายใดได้รับครบ 2 เข็มตามที่ทาง CDC แนะนำ
จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดในประเทศ พบว่า 28 รายเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และ 48 รายอยู่ในช่วงอายุ 5-19 ปี
ทั้งนี้ โรคหัดถูกประกาศว่าหมดไปจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งหมายความว่าไม่มีการแพร่ระบาดต่อเนื่องในประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม ไวรัสยังสามารถแพร่กระจายได้จากนักเดินทางที่มาจากประเทศที่ยังมีการระบาดของโรคหัด