ข้อมูลที่มีการเปิดเผยในวันนี้ (11 มี.ค.) บ่งชี้ว่า มีเพียง 7 ประเทศที่มีคุณภาพอากาศเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปีที่ผ่านมา ขณะที่นักวิจัยเตือนว่าการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศอาจยากขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ยุติโครงการติดตามคุณภาพอากาศทั่วโลก
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ข้อมูลที่รวบรวมโดยไอคิวแอร์ (IQAir) บริษัทตรวจสอบคุณภาพอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ระบุว่า ชาดและบังกลาเทศเป็นประเทศที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลกในปี 2567 โดยมีระดับหมอกควันเฉลี่ยสูงกว่ามาตรฐานของ WHO ถึง 15 เท่า
ไอคิวแอร์ระบุว่า ประเทศที่มีคุณภาพอากาศผ่านเกณฑ์ WHO ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บาฮามาส บาร์เบโดส เกรเนดา เอสโตเนีย และไอซ์แลนด์
การขาดแคลนข้อมูล โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา ส่งผลให้ภาพรวมของสถานการณ์มลพิษทั่วโลกไม่ชัดเจน หลายประเทศกำลังพัฒนาอาศัยเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ติดตั้งในสถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐฯ เพื่อติดตามระดับหมอกควัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ยุติโครงการดังกล่าวโดยให้เหตุผลด้านงบประมาณ และลบข้อมูลคุณภาพอากาศที่รวบรวมมานานกว่า 17 ปีออกจากเว็บไซต์ airnow.gov ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงข้อมูลจากชาดด้วย
"หลายประเทศยังพอมีแหล่งข้อมูลอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่แอฟริกาจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะในหลายกรณี เซ็นเซอร์เหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์เพียงแหล่งเดียวที่เข้าถึงได้" คริสตี เชสเตอร์-ชโรเดอร์ ผู้จัดการด้านวิทยาศาสตร์คุณภาพอากาศของ IQAir กล่าว
เชสเตอร์-ชโรเดอร์เตือนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังมีบทบาทมากขึ้นในการเพิ่มระดับมลพิษ โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงและยาวนานขึ้นในบางพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้
คริสตา ฮาเซนคอปฟ์ ผู้อำนวยการโครงการคลีนแอร์ (Clean Air) ที่สถาบันนโยบายพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (EPIC) กล่าวว่า การปิดโครงการติดตามมลพิษของสหรัฐฯ จะทำให้ 34 ประเทศขาดข้อมูลคุณภาพอากาศที่เชื่อถือได้