เสร็จสิ้นลงไปแล้วสำหรับการดีเบตครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างนางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน โดยก่อนที่การดีเบตจะเปิดฉากขึ้นนั้น คะแนนนิยมของทั้งคู่สูสีกันมากจนเดาไม่ออกว่าใครจะมาวิน เนื่องจากนางฮิลลารีมีคะแนนนำอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และช่องว่างก็หดแคบลงเรื่อยๆ
แต่ผลที่ออกมาหลังดีเบตกลับไม่สูสีอย่างที่คิด เพราะคนส่วนใหญ่ให้นางฮิลลารีชนะการดีเบตไปแบบขาดลอย โดยผลสำรวจของ CNN/ORC ที่ได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 521 คน พบว่า 62% มองว่านางฮิลลารีเหนือกว่าในการดีเบตรอบแรก และมีเพียง 27% ที่มองว่า นายทรัมป์เหนือกว่า ขณะที่ผลสำรวจของ Public Policy Polling จากการสุ่มตัวอย่างกลุ่มผู้ชมการดีเบต 1,002 คน พบว่า 51% คิดว่านางฮิลลารีชนะการดีเบต ขณะที่ 40% คิดว่า นายทรัมป์ชนะ ส่วน 9% ไม่ขอออกความเห็น
"ฮิลลารี" อาศัยลูกเก๋าต้อนคู่แข่งจนมุม
นางฮิลลารีเป็นนักโต้วาทีชั่วโมงบินสูง โดยผ่านการดีเบตมาแล้วเกือบ 40 ครั้ง นับตั้งแต่เริ่มรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กเมื่อ 16 ปีที่แล้ว และสำหรับการดีเบตครั้งนี้ นางฮิลลารีได้ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี โดยให้คนสนิทอย่างนายฟิลิป ไรน์ มารับบทเป็นนายทรัมป์ เพื่อเตรียมรับมือกับการโจมตีของทรัมป์ในด้านต่างๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่นางฮิลลารีสามารถคุมเกมและคุมอารมณ์ได้ดีกว่ามาก
นอกจากนี้ นางฮิลลารียังแสดงให้ชาวอเมริกันเห็นว่า "สังขารยังไหว" ด้วยการยืนดีเบตอย่างเป็นปกติตลอด 90 นาที ถือเป็นการเรียกความมั่นใจจากชาวอเมริกันจำนวนมากกลับคืนมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกทรัมป์โจมตีอย่างหนักว่าสุขภาพไม่ดี ซ้ำยังแสดงอาการป่วยระหว่างการร่วมงานรำลึกเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 ก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดบวม
ไม้ตายของนางฮิลลารีในการดีเบตครั้งนี้คือ การจี้ไปที่จุดอ่อนของนายทรัมป์ โดยเฉพาะเรื่องการเลี่ยงเปิดเผยรายการเสียภาษี ที่นายทรัมป์อ้างว่ากำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบบัญชี โดยนางฮิลลารีได้ตั้งคำถามว่าทำไมทรัมป์ถึงไม่เปิดเผยรายการเสียภาษี และตอบเองว่า "เขาอาจไม่ได้รวยอย่างที่อ้าง เขาอาจไม่ได้ใจบุญอย่างที่อ้าง และเขาอาจไม่เคยเสียภาษีให้รัฐเลยก็ได้ เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างแน่นอน"
นอกจากนี้ นางฮิลลารียังโจมตีไปที่เรื่องการเหยียดเชื้อชาติ โดยกล่าวว่า ทรัมป์มีพฤติกรรมการเหยียดเชื้อชาติมานาน และตอกฝาโลงด้วยเรื่องการเหยียดเพศ โดยกล่าวว่านายทรัมป์เรียกผู้หญิงด้วยคำที่ดูถูกเหยียดหยาม อย่างการเรียกผู้เข้าประกวดนางงามชาวละตินคนหนึ่งว่า "Miss Piggy" ซึ่งเป็นการเหยียดเพศและเหยียดเชื้อชาติของเธอด้วย
"ทรัมป์" ท่าดีทีเหลว
ในช่วงแรกนายทรัมป์ออกตัวค่อนข้างดีด้วยการนำเสนอมุมมองทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ นั่นคือ การดึงบริษัทสหรัฐให้กลับมาทำธุรกิจในประเทศและไม่หันไปจ้างงานในต่างประเทศ ด้วยการเจรจาข้อตกลงทางการค้าใหม่เพื่อให้สหรัฐมีความได้เปรียบทางการค้า รวมถึงการลดภาษีเพื่อดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจ
ทรัมป์โจมตีนางฮิลลารีที่มีส่วนผลักดันข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศหลายๆฉบับ เช่น ข้อตกลง NAFTA ซึ่งทำให้สหรัฐเสียเปรียบอย่างยิ่ง และยังวิจารณ์นางฮิลลารีที่เคยให้การสนับสนุนข้อตกลง TPP เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ จากนั้นก็กลืนน้ำลายตัวเองด้วยการหันมาคัดค้านเมื่อมีการบรรลุข้อตกลงเมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเหน็บนางฮิลลารีว่ามีบทบาททางการเมืองมานานถึง 30 ปี แต่ก็ไม่เห็นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นมา
อันที่จริงแล้ว หากคนใจร้อนอย่างนายทรัมป์สามารถควบคุมอารมณ์ในภาวะกดดันได้ ชาวอเมริกันก็จะมีความเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น และอาจโกยคะแนนนิยมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทว่าเมื่อการดีเบตร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นายทรัมป์ก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ โดยแสดงอาการฉุนเฉียวและพูดแทรกคู่แข่งหลายต่อหลายครั้ง จนนักวิเคราะห์กล่าวว่านายทรัมป์ "ทำร้ายตัวเอง" และแสดงให้เห็นว่า "ไม่พร้อมที่จะเป็นประธานาธิบดี"
เมื่อถูกจี้ใจดำเรื่องการเลี่ยงเปิดเผยรายการเสียภาษี นายทรัมป์ได้ท้าทายกลับว่า เขาจะเปิดเผยรายการเสียภาษีทั้งหมด เมื่อนางฮิลลารีเปิดเผยอีเมล 33,000 ฉบับที่ถูกลบทิ้งไประหว่างการสืบสวนกรณีการใช้อีเมลส่วนตัวในการทำงานขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า ทรัมป์พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเขาน่าจะใช้ประเด็นดังกล่าวโจมตีนางฮิลลารีได้มากกว่านี้
การดีเบตครั้งต่อไปจะเป็นรอบของรองประธานาธิบดี โดยจะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 4 ตุลาคม ซึ่งงานนี้นายไมค์ เพนซ์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ คงต้องรับบทหนักในการกู้หน้าให้กับทรัมป์ แต่ถ้าทำไม่ได้ ทรัมป์ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวอีกสองครั้ง ในการดีเบตรอบประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม และการดีเบตรอบประธานาธิบดีครั้งที่ 3 ในวันพุธที่ 19 ตุลาคม ซึ่งทรัมป์ก็ออกมาขู่แล้วว่า ครั้งหน้านางฮิลลารีจะเจอหนักกว่านี้แน่!