นาทีนี้คงไม่มีความเคลื่อนไหวใดที่น่าจับตามากไปกว่าการโต้วาทีรอบสุดท้ายระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในนามพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย การดีเบตครั้งนี้จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเนวาดา รัฐเนวาดา โดยมีคริส วอลแลนซ์ พิธีกรฝีปากเอกจากฟ็อกซ์นิวส์ ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ
การดีเบตยกสุดท้ายถือเป็นปรากฏการณ์ที่มีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะสามารถทำนายได้ว่าใครจะได้คุมบังเหียนดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้แล้ว ยังถือเป็นเวทีที่สามารถวัดกึ๋นและความฉลาดทางอารมณ์ของคู่แข่งนามอุโฆษทั้งสองได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผลการดีเบตย่อมตามมาด้วยมหากาพย์แห่งการพยากรณ์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง เนื่องจากนโยบายของคู่ท้าชิงทั้งสองมีความแตกต่างกันเกือบจะขาวกับดำ โดยเฉพาะนโยบายการจัดการกับปัญหาผู้ลี้ภัย และก่อการร้าย
ในการดีเบตสองครั้งที่ผ่านมา ทรัมป์เสียรังวัดให้กับนักการเมืองที่เจนเวทีอย่างฮิลลารีไปไม่ใช่น้อย ด้วยเหตุผลที่ว่า นักธุรกิจแมว 9 ชีวิตจากควีนส์โบโรผู้นี้ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านต่อหน้าสาธารณชนได้ ทั้งๆที่ทรัมป์ออกตัวแรงตั้งแต่แรกว่า จะน็อคฮิลลารีให้แพ้หมดรูปคาเวที ไม่ว่าจะเป็นการขุดคุ้ยเรื่องที่ฮิลลารีใช้อีเมลส่วนตัวในระหว่างการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การสะกิดรอยแผลเป็นของบิล คลินตัน คู่สมรสที่เคยสร้างวีรกรรมฉาวโฉ่กับหญิงอื่น และล่าสุด คือการจุดชนวนเรื่องสุขภาพของฮิลลารีให้กลายเป็นข้อกังขาของชาวประชาว่า ฮิลลารี...คุณป้าวัย 68 ที่เป็นลมล้มพับในระหว่างร่วมรัฐพิธีสำคัญอย่างเหตุการณ์ 9/11 นั้น จะนำพาประเทศชาติเดินต่อไปได้สักกี่น้ำ แม้ทรัมป์จะยิงกระสุนเหล่านี้จนหมดแม็ก แต่ก็หาได้ระคายผิวของฮิลลารีไม่ เพราะชั่วโมงบินที่สูงกว่าและการวางท่วงท่าดุจนางพญาของฮิลลารี สามารถทำให้ทรัมป์ฆ่าตัวตายเพราะปากตัวเอง และกลายเป็นเพียงตัวตลกบนเวทีดีเบตอันทรงเกียรติเท่านั้น
- ประเมินขุมกำลังสองคู่ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ศึกครั้งนี้ไม่มีใครยอมใคร
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เสียคะแนนไปมากมายในศึกดีเบตครั้งแรกและครั้งที่สอง โดยหมัดเด็ดที่ฮิลลารี คลินตัน ชกเข้าใส่อย่างตรงเป้าและเจ็บปวดที่สุด คือคลิปหลุดอื้อฉาวที่มีเสียงของทรัมป์พูดจาจาบจ้วงล่วงละเมิดผู้หญิง แม้คลิปดังกล่าวเกิดมานานถึง 11 ปีแล้วก็ตาม แต่มันก็มีมูลค่าสูงพอที่จะตามมาหลอกหลอนทรัมป์ในปัจจุบัน เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อทรัมป์ได้รับเชิญให้ไปร่วมรายการทีวีของบิลลี บุช ในปี 2005 โดยระหว่างรออัดรายการ ทรัมป์ได้พูดคุยกับชายคนหนึ่งในห้องแต่งตัวโดยเปิดไมค์ทิ้งไว้ ซึ่งทรัมป์ได้เล่าถึงวิธีการจีบหญิงคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว รวมทั้งเรื่องที่เขาคุยโม้ว่าสามารถจูบและลวนลามผู้หญิงคนอื่นๆได้ตามอำเภอใจ
แน่นอนว่า เพียงไม่กี่นาทีที่คลิปดูถูกเพศแม่หลุดสู่สายตาประชาชน คะแนนนิยมของทรัมป์ก็หล่นวูบ ตามมาด้วยเสียงตำหนิติเตียนจากผู้คนแทบทุกวงการ และสิ่งที่ทำให้ทรัมป์แทบล้มทั้งยืนก็คือ สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนต่างพากันประกาศถอนตัวยุติการสนับสนุนทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ออกอาการชัดเจนว่า เขาไม่สนับสนุนทรัมป์ และไม่ออกรณรงค์ช่วยทรัมป์หาเสียง แม้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีใกล้เข้ามาทุกขณะก็ตาม ความเคลื่อนไหวของนายไรอันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างมาก เนื่องจากเขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและมีอิทธิลอย่างมากในพรรครีพับลิกัน
คลิปอื้อฉาวนี้ถือเป็นระเบิดเวลาที่ทรัมป์ไม่สามารถกู้ได้ทัน เพราะแม้ว่าทรัมป์จะเอาสีข้างเขาถูด้วยการเปิดบาดแผลฉกรรจ์ของบิล คลินตัน เป็นการตอบโต้บนเวทีดีเบตครั้งที่สองว่า คลิปที่หลุดออกไปนั้น เป็นเพียงการพูดคุยในห้องปิด และในความเป็นจริงเขาไม่เคยทำผิดประเวณีกับผู้หญิงคนไหน ไม่เหมือนบิล คลินตัน สามีของนางฮิลลารีที่ทำเรื่องฉาวโฉ่แม้แต่กับผู้หญิงที่เป็นเด็กฝึกงานในทำเนียบขาว แต่หลังจากดีเบตครั้งที่สองปิดฉากลงไม่นาน โพลล์สำรวจของ CNN ก็เผยให้เห็นว่า ฮิลลารียังสามารถกวาดคะแนนนิยมนำหน้าทรัมป์ไปอย่างขาดลอย ... และนี่ ยังไม่รวมคำพิพากษาจากสังคม ในกรณีที่ทรัมป์หลีกเลี่ยงภาษีด้วยการอ้างในเอกสารการเงินว่า บริษัทของเขาขาดทุนเป็นเงินกว่า 900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เขาได้สิทธิขอยกเว้นภาษีรายปีเป็นเวลานานถึง 18 ปี
ทางฟากของฮิลลารี คลินตัน แม้จะโกยคะแนนนิยมแซงหน้าคู่แข่งไปแล้วถึง 2 ยก แต่จุดบอดของฮิลลารีก็มีไม่น้อย เมื่อสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ออกรายงานเปิดโปงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของฮิลลารี ในการใช้อีเมลส่วนตัวรับส่งข้อความในยุคที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวงต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการผิดกฎระเบียบอย่างร้ายแรง อีเมลเหล่านั้นประกอบไปด้วยข้อมูลลับและข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ซึ่งแม้ว่าฮิลลารีได้กล่าวคำขอโทษในระหว่างการดีเบต แต่ความบกพร่องในครั้งนี้ไม่อาจทำให้ชาวอเมริกันหายคลางแคลงใจได้
เท่านั้นยังไม่พอ ฮิลลารีกำลังเผชิญกับข้อกังขาเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ปรากฏต่อสายตาคนทั้งโลกเมื่อวันที่สหรัฐจัดพิธีรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ฮิลลารีไม่สามารถประคองตัวเองให้สามารถยืนหรือก้าวเดินได้ ต้องอาศัยบอดี้การ์ดคอยพยุงขึ้นรถ ภาพนี้กัดกร่อนความเชื่อมั่นและสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่สนับสนุนฮิลลารีเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยภาพในอดีตของฮิลลารีออกมาเป็นระลอก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่สะท้อนถึงสุขภาพที่ย่ำแย่ เช่น ฮิลลารีมีอาการไอตลอดเวลาที่กล่าวสุนทรพจน์หรือร่วมรายการทางโทรทัศน์ รวมทั้งภาพบางภาพที่แทบไม่เคยเหลือเค้าความงามของอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง และบางภาพก็ปรากฏให้เห็นว่า ฮิลลารีคล้ายอาจมีอาการของโรคพาร์กินสัน หรืออัลไซเมอร์ ... และที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน คือ กรณีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการที่ฮิลลารีเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิคลินตันของครอบครัว ซึ่งถูกเปิดโปงว่ารับเงินบริจาคจากรัฐบาลต่างชาติหลายล้านดอลลาร์
- ประมวลกระแสคาดการณ์ล่าสุด "ฮิลลารี VS ทรัมป์" ใครได้นั่งประธานาธิบดี?
ปกติแล้วก่อนเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นนั้น โพลล์หลายสำนักก็มักจะออกมาคาดการณ์ หรือ ฟันธง กันตามอัธยาศัย ซึ่งในสหรัฐก็เช่นกัน โดยผลการสำรวจล่าสุดของ NBC News และ Survey Monkey Weekly Election Tracking Poll ซึ่งเป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศสหรัฐ บ่งชี้ว่า ฮิลลารียังคงมีคะแนนนิยมทิ้งห่างทรัมป์ โดยอยู่ที่ 51% ต่อ 43%
ขณะที่ Paddy Power ซึ่งเป็นสำนักพนันที่ถูกกฎหมายของไอร์แลนด์ ได้ประกาศจ่ายเงินแล้วสำหรับนักพนันที่แทงว่า ฮิลลารี จะชนะการเลือกตั้ง ถึงแม้ยังคงเหลือเวลาอีกราว 3 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้งวันที่ที่ 8 พ.ย. ก็ตาม
ทั้งนี้ Paddy Power ได้จ่ายเงินออกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์แก่ผู้ที่เก็งว่า ฮิลลารี จะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 โดยมีอัตราต่อรองอยู่ที่ 2 ต่อ 11 ซึ่งหมายความว่า ฮิลลารีมีโอกาสถึง 84.6% ที่จะได้รับเลือกตั้ง ถ้าหากมีการเลือกตั้งในวันนี้
ทางด้าน PredictIt มองว่า ฮิลลารีมีโอกาส 82% ที่จะชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ PredictWise มองว่ามีโอกาสถึง 91%, Iowa Electronic Markets ระบุว่ามีโอกาส 86% และ Nate Silver's FiveThirtyEight มองว่า ฮิลลารีมีโอกาส 89.4% ที่จะคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งครั้งนี้
เจมี ไดแนน ผู้ก่อตั้งบริษัทยอร์ก แคปิตัล แมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ออกมาฟันธงแต่เนิ่นๆว่า หากนางฮิลลารีคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเขากล่าวว่าหลังจากที่ฮิลลารีชนะการดีเบตรอบแรกนั้น ราคาหุ้นต่างพุ่งขึ้นขานรับอย่างแข็งแกร่ง
... แต่ไม่ว่าสำนักใด หรือกูรูท่านไหน จะคาดการณ์หรือฟันธงว่าอย่างไร การดีเบตยกสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย อาจสามารถชี้ชะตาได้แม่นยำกว่าว่า ใครกันแน่ จะเข้าเส้นชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 8 พ.ย.นี้