อีกเพียงราวครึ่งเดือน ปีลิงก็จะผ่านพ้นไป เพื่อเปิดทางสำหรับปีไก่ทองที่จะมาถึง ซึ่งปี 2559 ถือเป็นปีที่เรียกว่า ต้นร้ายปลายดี โดยช่วงต้นปี ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกกระหน่ำจากปัจจัยสารพัด ทั้งราคาน้ำมันที่ทรุดตัว การก่อการร้าย และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายปีตั้งแต่เดือนพ.ย.เป็นต้นไป หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกลับพุ่งขึ้นทำนิวไฮไม่เว้นแต่ละวัน ขานรับชัยชนะในการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จนกลายเป็นกระแส “ทรัมป์แรลลี่" หนุนตลาดหุ้นทั่วโลกให้ดีดตัวขึ้นตามกัน ทดแทน"ซานตาแรลลี่" ที่มักจะช่วยหนุนตลาดช่วงปลายปี ทั้งๆที่ก่อนการเลือกตั้ง นักวิเคราะห์เตือนว่าตลาดหุ้นจะทรุดตัวลงอย่างหนัก ถ้าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในขณะนี้ หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิต ก็ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวดีที่ช่วยหนุนตลาดในช่วงท้ายปีนี้
สำหรับในปี 2560 นักลงทุนจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองทั่วโลก จากการที่หลายประเทศในยุโรปจะจัดการเลือกตั้งทั่วไป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ขณะที่สหรัฐก็จะมีการพลิกโฉมทางการเมืองเช่นกัน จากการที่นายทรัมป์จะเข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค. ส่วนการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก็จะเริ่มมีความชัดเจน และส่งผลกระทบออกมามากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสร้างความวิตกกังวลแก่นักลงทุน จากการสำรวจของบริษัทยูบีเอส พบว่า ลูกค้าถึง 1 ใน 4 ระบุว่า ปัจจัยการเมืองถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่สุดต่อภาคธุรกิจในปีหน้า อย่างไรก็ดี ยูบีเอสยังคงมองว่าภาวะโดยทั่วไปจะส่งผลบวกต่อนักลงทุนในปีหน้า โดยเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวจากระดับ 3.1% สู่ระดับ 3.5% โดยได้แรงหนุนจากนโยบายที่มุ่งเน้นการขยายตัวของสหรัฐ ท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อ ทางด้านยุโรป และญี่ปุ่นจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ส่วนสหรัฐนั้น ถึงแม้มีการคาดการณ์กันว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะหันมาดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็คาดว่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่รัฐบาลจีนจะรับประกันว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงทีละน้อย และจะไม่ประสบภาวะทรุดตัวลงอย่างกะทันหัน
ฝ่ายบริหารความมั่งคั่งของยูบีเอส ซึ่งดูแลสินทรัพย์ภายใต้การจัดการถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ เปิดเผย 9 สุดยอดสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมากที่สุดประจำปี 2560 ดังนี้:-
1.หุ้นสหรัฐ
ถึงแม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้ทะยานขึ้นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ยูบีเอสยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐ โดยคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะพุ่งขึ้น 8% ในปีหน้า จากแรงหนุนของราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพ และมาตรการกระตุ้นด้านการคลังของรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐ ขณะที่เฟดยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย แม้มีการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
2.หุ้นเฉพาะกลุ่ม
สำหรับนักลงทุนสหรัฐ ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงิน และธุรกิจรักษาสุขภาพ เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบจากรัฐบาลของนายทรัมป์
ส่วนนักลงทุนที่อยู่นอกสหรัฐ ควรลงทุนในกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย-แปซิฟิก เนื่องจากจะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจมากกว่าพันธบัตรรัฐบาล เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระดับโลก
3.หุ้นในตลาดเกิดใหม่
อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพ รวมทั้งการดีดตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของหุ้นในตลาดเกิดใหม่ในปีหน้า
4.สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่
อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำจะช่วยให้สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น แรนด์ของแอฟริกาใต้ เรียลของบราซิล รูเบิลของรัสเซีย และรูปีของอินเดีย ต่างก็มีความน่าดึงดูดเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์แคนาดา และโครนาของสวีเดน ซึ่งจะมีความอ่อนไหวต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ส่วนนักลงทุนที่ไม่อยู่ในสหรัฐควรพิจารณาการถือหุ้นกู้ของบริษัทที่มีผลประกอบการที่เชื่อถือได้ในยูโรโซน สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ซึ่งอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก
6.หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของสหรัฐ
ปัจจุบัน หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (senior bond) ของสหรัฐให้ผลตอบแทนสูงกว่าถึง 4% เมื่อเทียบกับหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่น่าลงทุน ทำให้การถือครองสินทรัพย์ประเภทนี้มีความน่าสนใจ ถึงแม้อัตราการผิดนัดชำระหนี้อาจพุ่งขึ้นแตะระดับเฉลี่ยในระยะยาว
7.พันธบัตรอ้างอิงเงินเฟ้อของสหรัฐ
พันธบัตรอ้างอิงเงินเฟ้อ (TIPS, Treasury inflation-protected securities) ของสหรัฐจะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการขยายตัวของค่าแรง นอกเหนือจากปัจจัยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรลดสถานะการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ราคาได้ดิ่งลงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และยังมีความเสี่ยงจากแนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวขึ้น
8.สินค้าโภคภัณฑ์
สำหรับนักลงทุนสหรัฐ การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ จะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของการผลิตน้ำมันและก๊าซ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนนักลงทุนนอกสหรัฐควรลงทุนในโลหะมีค่า เช่น พัลลาเดียม และพลาตินัม ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม และความไม่แน่นอนทางการเมือง
9.การลงทุนทางเลือก
ในปี 2560 ผลตอบแทนจากหุ้นที่มีการจดทะเบียนในตลาด และพันธบัตร อาจอยู่ในระดับปานกลาง หากนักลงทุนเลือกที่จะเข้าลงทุนในเฮดจ์ฟันด์ และลงทุนในตลาดส่วนบุคคล ซึ่งผลตอบแทนจะมีความเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์จดทะเบียนค่อนข้างน้อย ก็จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของหลักทรัพย์ในพอร์ต และจะเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
นอกเหนือจากสินทรัพย์ทั้ง 9 ประเภทดังกล่าวแล้ว ยูบีเอสยังแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาสินทรัพย์ที่จะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ การขยายตัวของสังคมเมือง การเพิ่มขึ้นของประชากร และการเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ รวมทั้งนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี จะช่วยสร้างโอกาสในระยะยาวสำหรับการลงทุนในหุ้น และการลงทุนในธุรกิจรักษาสุขภาพในตลาดเกิดใหม่ ขณะที่นักลงทุนควรกระจายสินทรัพย์ และการลงทุนไปในภูมิภาคต่างๆ โดยมองถึงผลตอบแทนในระยะยาว เพื่อให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ