ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐกลายมาเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต้องจับตาอีกครั้ง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อให้อำนาจแก่นายโรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ตรวจสอบว่า กฎหมาย นโยบาย แนวทางปฏิบัติ หรือการกระทำใดๆ ของจีนนั้น ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรม หรือการพัฒนาเทคโนโลยีของสหรัฐหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่จีนถูกกล่าวหาว่าขโมยความลับทางการค้าจากบริษัทสหรัฐที่ทำธุรกิจในจีน หรือบังคับให้บริษัทสหรัฐเปิดเผยความลับทางการค้า เพื่อแลกกับการเข้าไปทำธุรกิจในจีน
*ประกาศศึก
อันที่จริงทรัมป์ได้ประกาศศึกการค้ากับจีนมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว ในช่วงนั้นทรัมป์ได้ประกาศว่า จะดึงฐานการผลิตกลับสู่สหรัฐ หลังจากที่ถูกจีนขโมยไป และจะขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 45% แต่จีนขู่กลับว่า จะใช้นโยบายตอบโต้ต่อสินค้าสหรัฐเช่นเดียวกัน โดยจีนจะเลิกสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งจากสหรัฐ รวมถึงระงับการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวโพดด้วย
หลังจากที่เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่ถึง 3 เดือน ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีสองฉบับเพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายด้านการค้าและแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า โดยได้สั่งการให้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าสหรัฐจัดทำรายงานเพื่อหาสาเหตุเบื้องหลังการขาดดุลการค้าของสหรัฐ โดยวิเคราะห์แยกตามประเทศของคู่ค้าและประเภทของสินค้า นอกจากนั้นยังสั่งการให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิจัดการปัญหาการละเมิดกฎหมายการค้าและภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นในการจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และสินค้าปลอม โดยมาตรการดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่คู่ค้ารายสำคัญ ซึ่งจีนก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยจีนเป็นประเทศที่มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดถึง 3.47 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2559
ต่อมาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้เดินทางเยือนสหรัฐ โดยหลังจากที่ผู้นำสองชาติมหาอำนาจได้หารือกัน ทรัมป์ก็ตัดสินใจผ่อนคลายการกดดันทางการค้าที่มีต่อจีน แลกกับการที่จีนต้องช่วยกดดันให้เกาหลีเหนือล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ จากนั้นไม่นานทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับวอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า จีนไม่ได้เป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน ทั้งที่ในสมัยหาเสียงเลือกตั้งนั้น ทรัมป์ได้โจมตีจีนมาตลอดว่ามีการปั่นค่าเงินหยวนเพื่อเอาเปรียบในเรื่องการส่งออก ขณะเดียวกัน นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า การตีตราว่าจีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงินนั้น อาจบั่นทอนความพยายามในการแก้ไขสถานการณ์เกาหลีเหนือ เนื่องจากจีนมีอิทธิพลต่อเรื่องนี้มาก
*กลยุทธ์ผิดพลาด
สหรัฐตั้งความหวังไว้มากว่า จีนจะสามารถคลี่คลายปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีได้ แต่จีนกลับไม่ได้ใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจกดดันเกาหลีเหนือมากเท่าที่สหรัฐหวัง ขณะที่เกาหลีเหนือก็กระทำการยั่วยุอย่างต่อเนื่อง โดยเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันชาติสหรัฐ หลังจากนั้นทรัมป์ได้ทวีตข้อความประชดประชันจีนที่ทำการค้ากับเกาหลีเหนือเพิ่มขึ้นเกือบ 40% ในไตรมาสแรก พร้อมกับตั้งคำถามว่า ทำไมสหรัฐจะต้องเดินหน้าทำข้อตกลงการค้ากับประเทศที่ไม่ช่วยเหลืออะไรเลย
จากนั้นในช่วงปลายเดือนเดียวกัน เกาหลีเหนือก็ประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปครั้งที่สอง จนทรัมป์ต้องออกมาทวีตว่ารู้สึกผิดหวังกับจีนมาก พร้อมกล่าวว่า จีนกอบโกยผลประโยชน์ทางการค้าหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปี แต่กลับไม่ดำเนินการใดๆเรื่องเกาหลีเหนือ และเตือนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไป
ส่วนทางจีนได้แสดงความเห็นว่า สหรัฐควรแยกประเด็นนิวเคลียร์เกาหลีเหนือออกจากประเด็นความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างจีน-สหรัฐ โดยนายเฉียน เค่อหมิง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า ทั้งสองประเด็นไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และไม่ควรนำมาหารือร่วมกัน
*ปฏิบัติการใหม่
เกาหลีเหนือยังคงกระทำการยั่วยุไม่เลิก โดยล่าสุดก็ขู่ว่าจะยิงขีปนาวุธลงสู่น่านน้ำใกล้กับเกาะกวมในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐ จนสร้างความโกลาหลไปทั่วโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และในที่สุดจีนก็เริ่มเคลื่อนไหว โดยเมื่อวันจันทร์นี้ กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกคำสั่งให้มีการปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ซึ่งรวมถึงการห้ามนำเข้าถ่านหิน เหล็ก แร่เหล็ก ตะกั่ว และอาหารทะเล โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดรายได้จากการส่งออกของเกาหลีเหนือลง 1 ใน 3 จากระดับ 3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือทำการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีปสองครั้งในเดือนที่แล้ว โดยกรมศุลกากรจีนจะหยุดนำเข้าสินค้าข้างต้นจากเกาหลีเหนือตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 5 กันยายนเป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวของจีนดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ทรัมป์ก็ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อให้ตรวจสอบนโยบายการค้าของจีน หลังจากที่ได้เตรียมการในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นเดือน หากการตรวจสอบพบว่าจีนทำผิดจริง ทรัมป์อาจดำเนินการตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 2517 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐในการกำหนดอัตราภาษีหรือใช้มาตรการคุมเข้มทางการค้าต่อประเทศอื่นๆ เพื่อปกป้องสหรัฐจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ด้านจีนได้ออกมาตอบโต้อย่างทันควัน โดยกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่าจะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ หากมาตรการของสหรัฐทำลายความสัมพันธ์ทางการค้า พร้อมกับระบุว่า สหรัฐไม่ควรทำลายหลักการของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน และยืนยันว่าที่ผ่านมานั้น จีนได้คุมเข้มด้านการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่นายหัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ จะส่งผลให้เกิดสงครามทางการค้า ซึ่งจะไม่มีฝ่ายใดชนะ
แม้ทรัมป์จะประกาศกร้าวว่า "นี่เป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่มาก" ทว่านักวิเคราะห์มองว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ "อ่อน" เกินไป เพราะที่จริงแล้วทรัมป์สามารถประกาศใช้มาตรา 301 ได้เลย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจีนอย่างรุนแรงในทันที แต่ทรัมป์กลับสั่งให้นายไลท์ไทเซอร์ตรวจสอบก่อนว่าการใช้มาตรา 301 จำเป็นหรือไม่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจใช้เวลานานเป็นปีเลยทีเดียว ท่าทีที่อ่อนเกินคาดของทรัมป์ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า แม้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐจะไม่สู้ดีนัก แต่สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้