หากวันนี้เปิดหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศแล้ว เชื่อได้ว่าข่าวที่เป็นที่จับตาที่สุดขณะนี้คงหนีไม่พ้นรายงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ แถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสอย่างแน่นอน โดยผู้นำสหรัฐเจ้าของวาทกรรม "อเมริกาต้องมาก่อน" ได้ขึ้นแถลง State of the Union ต่อสภาคองเกรสไปเมื่อเวลาประมาณ 09.10 น. ที่ผ่านมาตามเวลาไทย ในหัวข้อ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ"
การแถลงนโยบายครั้งนี้เป็นการแถลงครั้งแรกของปธน.ทรัมป์ ซึ่งได้รับความสนใจจากล้นหลามจากสื่อทั้งสื่อในสหรัฐและทั่วโลก และคาดว่าจะมีผู้รับชมรายงานการแถลงนโยบายดังกล่าวประมาณ 40 ล้านคน
*ความเป็นมาและความสำคัญของ State of the Union
การแถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรส หรือ State of the Union เป็นธรรมเนียมที่ประธานาธิบดีสหรัฐจำเป็นต้องทำทุกปี ยกเว้นในปีแรกที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะจัดในเดือนมกราคม ในคืนวันอังคารตามเวลาสหรัฐ หรือช่วงเช้าหรือสาย ๆ วันพุธตามเวลาไทย โดยข้อความที่แถลงนั้นมักครอบคลุมเรื่องของงบประมาณ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ไปจนถึงแผนการดำเนินงานในอนาคตที่จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากสภาคองเกรส
ชื่อ State of the Union นั้นมาจากการที่รัฐธรรมนูญสหรัฐระบุไว้ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐจำเป็นต้องชี้แจงต่อสภาคองเกรสเกี่ยวกับ "ภาวะการณ์ของสหภาพ" หรือแปลให้เป็นปัจจุบันได้ว่า "ภาวะการณ์ของประเทศ" พร้อมเสนอแนะมาตรการที่ตนคิดว่าสมควรเพื่อให้ทางสภาคองเกรสนำไปพิจารณาต่อไป โดยประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยต้นๆนั้น ได้ยื่นรายงาน State of the Union เป็นลายลักษณ์อักษร แต่รายงานดังกล่าวก็ได้เปลี่ยนรูปแบบไปในยุคของนายวูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีคนที่ 28 ซึ่งได้เริ่มแถลงรายงานนี้ต่อสภาคองเกรสด้วยตนเอง เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนให้กับแผนงานของตน และเมื่อยุคสมัยผ่านไปก็ได้มีการเผยแพร่การแถลงรายงานนี้ทางวิทยุและโทรทัศน์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
สำหรับการแถลงนโยบายในปีนี้ ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวไว้เมื่อวานนี้ว่า "การปราศรัยครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก และสำคัญมาก" โดยสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันได้เชิญเหล่าส.ส.และส.ว.ที่ล้วนได้รับผลกระทบในประเด็นต่างๆด้วยตนเองให้เข้าร่วมการแถลงนโยบายครั้งนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนโยบายตรวจคนเข้าเมือง กระแส #Metoo การช่วยเหลือผู้ประสบภัย สุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน ภาษี และอื่นๆ
*เปิดฉากช่วงเวลาสำคัญ
ปธน.ทรัมป์ได้ปรากฏตัว ณ แคปปิตอล ฮิลล์ จุดแถลง State of the Union ในเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยสูทดำ ผูกเนคไทสีน้ำเงินที่ดูแปลกตาไปจากเนคไทแดงที่ปธน.ทรัมป์มักผูกเป็นประจำ รายล้อมไปด้วยผู้คนในห้องที่ต่างปรบมือให้กับช่วงเวลายิ่งใหญ่นี้ โดยบุคคลผู้เป็นจุดสนใจของงานนี้ ได้เริ่มกล่าวคำปราศรัยด้วยการประกาศยกย่องวีรบุรุษของชาติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยิงกราดที่เมืองลาสเวกัส ไปจนถึงเหล่าส.ส.และส.ว.ที่มีส่วนขับเคลื่อนสังคมอเมริกันให้ดีขึ้น
จากนั้นปธน.ทรัมป์ก็ได้เริ่มกล่าวถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นขณะตนดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ โดยนับตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง สหรัฐก็มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 2.4 ล้านตำแหน่ง ขณะที่ค่าจ้างก็เริ่มปรับตัวขึ้นหลังจากที่ซบเซามาหลายปี จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 45 ปี ส่วนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและสเปนมีงานทำมากขึ้น นอกจากนี้ คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐได้ผลักดันกฎหมายการปรับลดภาษีครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งช่วยให้บริษัทของสหรัฐสามารถแข่งขันกับภาคเอกชนของประเทศอื่นๆได้ และยังสามารถยกเลิกเนื้อหาหลักในโครงการโอบามาแคร์ ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างหายนะต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
*จุดประกาย "อเมริกันดรีม" ขึ้นใหม่ ทุกคนทำงานหนักเพื่อให้ฝันเป็นจริง
หลังจากที่ได้ประกาศความสำเร็จในการบริหารประเทศจนได้รับเสียงปรบมือจากแขกในห้องแล้ว ผู้นำสหรัฐก็เริ่มกล่าวถึงสหรัฐอเมริกายุคใหม่ที่มีความเป็นหนึ่งเดียว และจะทำให้ความใฝ่ฝันของชาวอเมริกัน หรือที่เรียกกันเป็นอุดมคติว่า "อเมริกันดรีม" เกิดขึ้นจริงในยุคที่ตนเป็นผู้นำประเทศ โดยคำพูดที่ทำให้ผู้คนที่แคปปิตอล ฮิลล์ ต่างยืนปรบมือให้กับปธน.ทรัมป์นั้นคือ "ไม่ว่าคุณจะผ่านอะไรมา หรือมาจากที่ใด วันนี้ถึงเวลาแล้ว ถ้าคุณทำงานหนัก ถ้าคุณเชื่อในตัวเอง เชื่อในอเมริกา คุณจะฝันอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ และเมื่อจับมือกันแล้ว เราทำได้ทุกอย่าง"
ในโอกาสเดียวกันนี้ ปธน.ทรัมป์ ได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสมอบอำนาจให้กับทางคณะรัฐมนตรี ในการกำจัดพนักงานรัฐที่มีพฤติกรรมบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน และเป็นสิ่งกีดขวางชาวอเมริกันในการสานฝันให้เป็นจริง พร้อมกล่าวยกย่องบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานรับใช้ชาติ ซึ่งรวมถึงทหารและอาสาสมัครที่อุทิศตนรับใช้ประเทศ และให้คำมั่นว่ารัฐบาลสหรัฐจะดูแลบรรดาทหารผ่านศึกผู้กล้าหาญ และชาวอเมริกันทุกคนสมควรได้รับการดูแลและได้รับความเคารพโดยเท่าเทียมกัน
*ประเด็นเศรษฐกิจ-การค้าที่หลายฝ่ายจับตา
เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องเศรษฐกิจและการค้าแล้ว ปธน.ทรัมป์ได้ให้คำมั่นในการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ราคายาปรับตัวลดลง เนื่องจากปัจจุบัน สหรัฐขายยาในราคาสูงและไม่เป็นธรรมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยประเด็นเรื่องราคายาเป็นสิ่งที่ผู้นำสหรัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ
ปธน.ทรัมป์ยังได้ย้ำชัดถึงท่าทีของตน ในการทำการค้ากับต่างประเทศอย่างเป็นธรรม โดยสหรัฐจะเดินหน้าจัดการกับข้อตกลงการค้าที่ไม่เป็นธรรมเพื่อก่อให้เกิดความถูกต้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกันให้ถึงที่สุด ซึ่งสิ่งนี้ได้ปรากฏเป็นตัวอย่างแล้วในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (TPP)
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสหันมาปรับขั้นตอนการอนุมัติและอนุญาตโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้โครงการเหล่านี้เดินหน้าได้รวดเร็วทัดเทียมกับโครงการของเอกชน
*ชาวอเมริกันก็เป็น "นักล่าฝัน" เหมือนกับผู้ลี้ภัย
อีกหนึ่งในประเด็นที่หลาย ๆ ฝ่ายจับตาดูไม่แพ้เรื่องเศรษฐกิจและการค้าคือโครงการคุ้มครองผู้อพยพวัยเยาว์ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐ (DACA) ซึ่งก่อนที่ปธน.ทรัมป์จะขึ้นกล่าวในวันนี้ เขาเคยประกาศว่าจะเปิดโอกาสให้เหล่า "ดรีมเมอร์" หรือผู้อพยพวัยรุ่นที่เข้ามาอยู่อาศัยในสหรัฐตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีการขึ้นทะเบียน ยื่นขอสัญชาติอเมริกันได้แล้ว แต่เรื่องราวที่น่ายินดีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสภาคองเกรสให้งบประมาณสนับสนุนการสร้างกำแพงกั้นชายแดน รวมถึงการสนับสนุนมาตรการอื่นๆในการคุมเข้มการตรวจคนเข้าเมือง
ปธน.ทรัมป์ได้ยื่นข้อเสนอดังกล่าวเพื่อมอบความปลอดภัยให้กับชาวอเมริกันทุกคน เนื่องจาก "ชาวอเมริกันก็เป็นนักล่าฝันเหมือนกัน"
ในโอกาสนี้ ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสร่วมมือกันลดช่องโหว่ที่เป็นอันตรายในเรื่องนโยบายรับคนเข้าเมือง พร้อมกับเรียกร้องให้สมาชิกพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน เพิ่มความร่วมมือในการทำงานให้มากขึ้น ทั้งในเรื่องการยกเลิกโครงการล็อตโต้วีซ่า และยุติการรับคนเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง
*ปิดท้ายการปราศรัยด้วยการเมืองต่างประเทศ
ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวถึงประเด็นการเมืองว่า เกาหลีเหนือยังคงเป็นภัยคุกคามต่อโลก และคาดว่าโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือมีแนวโน้มที่จะเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐในไม่ช้านี้ โดยตนได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐให้มีความทันสมัย เพื่อปกป้องประเทศให้รอดพ้นจากการคุกคามดังกล่าว
นอกเหนือจากเกาหลีเหนือแล้ว ผู้นำสหรัฐก็ได้เรียกร้องสภาคองเกรสหาทางออกให้กับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านด้วยแนวทางที่เหมาะสม และยังได้กล่าวถึงกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ว่า สหรัฐจะเดินหน้าต่อสู้กับกลุ่ม IS ต่อไปจนกว่ากลุ่มก่อการร้ายนี้จะพ่ายแพ้ พร้อมกันนี้ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า สหรัฐจะให้เงินช่วยเหลือแก่ประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐเท่านั้น และต้องเป็นการช่วยเหลือที่ชาวอเมริกันได้รับผลประโยชน์ด้วย ก่อนที่การแถลงนโยบายครั้งนี้จะสิ้นสุดลงด้วยเสียงปรบมือจากผู้ที่อยู่ในห้อง โดยการแถลงนโยบายครั้งนี้ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 20 นาที
*เสียงตอบรับหลังเวทีปิดฉาก
ผลสำรวจความคิดเห็นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 48% รู้สึกพอใจกับการแถลงนโยบายครั้งนี้ ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับการแถลงนโยบายของอดีตปธน.บารัค โอบามาเมื่อปี 2553 และอดีตปธน.จอร์จ บุช เมื่อปี 2549
หลังการถ่ายทอดสดการแถลง State of the Union ประจำปีนี้ได้สิ้นสุดลง ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พื้นที่สื่อก็ถูกจับจองด้วยแถลงการณ์ตอบรับจากหนึ่งในสมาชิกพรรคเดโมแครตอย่างนายโจ เคนเนดี ที่สาม ส.ส.สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งได้กล่าวแย้งสิ่งที่ปธน.ทรัมป์เคยกล่าวไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชาวอเมริกัน
ส.ส.หนุ่มจากรัฐแมสซาชูเซตส์ ผู้มีเชื้อสายเดียวกันกับประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐรายนี้ มองว่าปธน.ทรัมป์มีดีเพียงแค่คุยฟุ้งในเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ได้ระบุชื่อของปธน.ทรัมป์โดยตรงแต่อย่างใด ส.ส.วัย 37 ปีรายนี้กล่าวว่า "เราเห็นเศรษฐกิจที่ราคาหุ้นทะยานขึ้น พอร์ตการลงทุนแข็งแกร่ง ภาคธุรกิจมีกำไรมากขึ้น ทว่าผู้ที่ทำงานหนักจริงๆ ยังไม่ได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ"
ขณะเดียวกัน ส.ส.พรรคเดโมแครตผู้นี้ก็ได้ออกแถลงการณ์โต้กลับในประเด็นผู้อพยพว่า การที่ปธน.ทรัมป์พยายามจะปิดโอกาสนักล่าฝันนั้น เป็นการทอดทิ้งสิ่งที่สหรัฐได้ยึดถือมาอย่างยาวนาน นั่นคือความเชื่อที่ว่าเราทุกคนมีค่าและความเท่าเทียม จากนั้นก็ได้กล่าวเป็นภาษาสเปนเพื่อส่งข้อความถึงเหล่านักล่าฝันว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐยิ่งใหญ่ทุกวันนี้ และพรรคเดโมแครตจะไม่ทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง เพราะ "ชาติที่เข้มแข็ง มั่งคั่ง และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ควรทิ้งผู้ใดไว้ด้านหลัง"