การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว "2018 Winter Olympics" เปิดฉากขึ้นแล้วที่เมืองพยองซัง ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆในมหกรรมโอลิมปิกฤดูหนาวนี้ นักกีฬาจะสามารถเล่นกีฬาได้บนพื้นน้ำแข็งเท่านั้น และมีประเทศเข้าร่วมมากถึง 92 ประเทศ โดยหนึ่งในประเทศที่ตกเป็นข่าวเกรียวกราว ได้แก่ เกาหลีเหนือ ซึ่งกำลังมีประเด็นขัดแย้งกับนานาชาติอยู่ในขณะนี้ และยังเข้าร่วมในพิธีเปิดภายใต้ "ธงรวมชาติ" ร่วมกับประเทศคู่อริอย่างเกาหลีใต้ ประกอบกับการแข่งขันกีฬาครั้งนี้ยังมีสหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งต่างก็มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดแย้งกับเกาหลีเหนืออย่างสิ้นเชิงเข้าร่วมด้วย ส่งผลให้กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปีนี้ กลายเป็นเวทีการเมืองระดับโลกอีกด้วย
*กว่าที่เกาหลีเหนือจะเข้าร่วมโอลิมปิกฤดูหนาวภายใต้ "ธงรวมชาติ"
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นั้นเป็นสองประเทศที่มีความขัดแย้งกันมายาวนาน ขณะที่ในปัจจุบัน เกาหลีเหนือยังคงยึดมั่นในการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ และแสดงให้เห็นถึงความไม่ลดลาวาศอกด้วยการยิงทดสอบขีปนาวุธอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเกาหลีใต้มองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อคาบสมุทรเกาหลี จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นการตอบโต้ด้วยการซ้อมรบร่วมกับสหรัฐและญี่ปุ่นอยู่ตลอด ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็สร้างความไม่พอใจให้แก่เกาหลีเหนือด้วยเหตุผลเดียวกัน ส่งผลให้สถานการณ์เหนือคาบสมุทรเกาหลีวนเวียนเป็นวงจรแห่งความตึงเครียดเสมอมา
อย่างไรก็ตาม นายมูน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้แสดงท่าทีที่อ่อนข้อลงเป็นครั้งแรกหลังการเข้ารับตำแหน่งเพียงเดือนเศษ โดยในระหว่างเป็นประธานกล่าวเปิดการแข่งขันเทควันโดโลกที่เมืองมูจูนั้น นายมูนได้เสนอให้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ภายใต้ "ทีมเดียวกัน" หลังจากที่เกาหลีเหนือเคยปฏิเสธการเข้าแข่งร่วมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 2531 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพเช่นกัน
"ผมเชื่อมั่นในพลังแห่งกีฬาที่จะเป็นตัวแทนของสันติภาพ" นายมูนกล่าว
ความพยายามครั้งแรกของนายมูนในการเชื้อเชิญเกาหลีเหนือด้วยวิธีการทางการทูตดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อนายชาง อึน สมาชิกคณะกรรมการโอลิมปิกสากลของเกาหลีเหนือ ออกมาปฏิเสธคำเชิญดังกล่าว พร้อมระบุว่า "นี่ไม่ใช่เวลาของการเจรจา" ท่ามกลางความตึงเครียดเหนือคาบสมุทรเกาหลีที่เพิ่มมากขึ้น
ต่อมาในระหว่างพิธีกล่าวอวยพรช่วงวันปีใหม่ นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้กล่าวในสิ่งที่หลายฝ่ายไม่คาดคิด ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวว่า "...การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของนักกีฬาเกาหลีเหนือ จะเป็นโอกาสอันดีในการแสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจของชาติเรา และหวังว่าการแข่งขันครั้งนี้จะลุล่วงไปด้วยดี ขอให้เจ้าหน้าที่ของทั้งสองเกาหลีร่วมกันหารือถึงความเป็นไปได้นี้"
คำประกาศของผู้นำเกาหลีเหนือครั้งนี้จึงนำมาซึ่งความเป็นไปได้ที่สองเกาหลีจะกลับมามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี โดยในเดือนธ.ค. 2560 ทั้งสองประเทศเห็นชอบที่จะจัดการประชุมร่วมกันในวันที่ 9 ม.ค. 2561 เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะร่วมส่งนักกีฬาเช้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว
ในระหว่างนี้ เกาหลีใต้ยังมุ่งมั่นที่จะแสดงความพยายามที่จะลดปัจจัยที่อาจนำมาซึ่งความตึงเครียดเพิ่มเติม โดยเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2561 นายมูนยังได้ต่อสายตรงถึงทรัมป์เพื่อขอให้เลื่อนการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐออกไปก่อนจนกว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะเสร็จสิ้น ซึ่งทรัมป์เองก็ยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอดังกล่าว ความพยายามของผู้นำเกาหลีใต้ครั้งนี้ ทำให้เกาหลีใต้สามารถซื้อใจเกาหลีเหนือได้อีกครั้งหนึ่ง
หลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรกระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในรอบกว่า 2 ปี ฝั่งเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ประกาศความสำเร็จในการประชุมระดับสูงของทั้งสองประเทศโดยมีใจความว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงในการส่งตัวนักกีฬาเกาหลีเหนือเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และจะพยายามลดความตึงเครียดด้านการทหาร ตลอดจนสร้างสภาพแวดล้อมที่มีสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี พร้อมทั้งยกระดับการติดต่อแบบทวิภาคี การเยี่ยมเยียน การแลกเปลี่ยน และความร่วมมือในหลากหลายด้าน ผ่านการเจรจาระหว่างสองฝ่าย...เท่านั้น
ต่อมาในวันที่ 17 ม.ค. 2560 เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้จัดการประชุมร่วมกันอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วย ซึ่งผ่านไปอย่างราบรื่นอีกครั้งหนึ่ง โดยทั้งสองประเทศเห็นชอบที่จะมีการส่งนักกีฬาร่วมลงแข่งขันกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งหญิงในนามทีมเดียวกัน และนักกีฬาจากทั้งสองชาติจะเดินในขบวนพาเหรดร่วมกันภายใต้ธงผืนเดียวกันในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว
ความราบรื่นได้ดำเนินมาถึงวันที่ 9 ก.พ. 2561 ซึ่งเป็นวันจัดพิธีเปิดการแข่งขัน เมื่อคณะตัวแทนจากฝั่งเกาหลีเหนือได้เดินทางถึงสนามบินของเกาหลีใต้ โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกาหลีเหนือส่งมา ได้แก่ นางคิม โย จอง ซึ่งเป็นน้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งทางเกาหลีใต้เองได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ขณะที่พิธีเปิดดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและน่าประทับใจ และนักกีฬาของทั้งสองประเทศก็ได้เดินขบวนร่วมกันภายใต้ธงสีขาวฟ้าที่มีสัญลักษณ์ดินแดนรวมของชาติเกาหลี
ในวันต่อมา ทั้งสองประเทศได้จัดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมกัน นับเป็นการประชุมครั้งแรกระหว่างเกาหลีทั้งสองในดินแดนของเกาหลีใต้ และเป็นครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีเกาหลีใต้และสมาชิกครอบครัวของผู้นำเกาหลีเหนือนับตั้งแต่ปี 2550 ในการนี้ นางคิมยังได้มอบจดหมายเชิญให้เดินทางเยือนเกาหลีเหนือแก่นายมูน ซึ่งภายในมีข้อความของนางคิมที่ระบุว่า "ฉันหวังว่าเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นภายในใจของชาวเกาหลี และนำมาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตอันใกล้" แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างสองเกาหลีอย่างเห็นได้ชัดไม่มากก็น้อย
ล่าสุด นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เดินทางกลับประเทศหลังเข้าร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่เกาหลีใต้ โดยภายหลังการประชุม นายคิมกล่าวว่า "การสร้างบรรยากาศการรวมชาติและการประชุมให้เป็นไปอย่างอบอุ่นนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญ" พร้อมระบุว่าเป็นเรื่อง "น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง" ที่เกาหลีใต้ได้แสดงออกถึง "ความพยายามอย่างจริงใจ" ในการต้อนรับเกาหลีเหนือ
*ท่าที่ของนานาชาติต่อความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างสองเกาหลี
เริ่มต้นที่จีนซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือ ได้ออกมาแสดงความยินดีก่อนหน้านี้ในช่วงการประชุมระหว่างสองเกาหลีก่อนที่การแข่งขันโอลิมปิกจะเริ่มขึ้น โดยนายลู่ กัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า "ในฐานะที่จีนเป็นประเทศเพื่อนบ้านในคาบสมุทรเกาหลี จีนขอแสดงความยินดี และสนับสนุนการดำเนินการของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์" พร้อมระบุว่า ทั้งสองฝ่ายควรใช้การจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเป็นโอกาสในการปรับปรุงความสัมพันธ์ และเพิ่มความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดบนคาบสมุทร และทำให้มีการแก้ไขความขัดแย้งผ่านทางการหารือและการเจรจา
ด้านสหรัฐซึ่งประกาศตัวอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้ว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆร่วมกับเกาหลีเหนือหากเกาหลีเหนือไม่ยอมตกลงที่จะหยุดยั้งการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์เสียก่อน ได้มีท่าทีที่อ่อนข้อลงหลังจากที่นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประชุมร่วมกับนายมูน แจ อิน หลังพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก โดยเพนซ์กล่าวหลังการประชุมว่า "สหรัฐพร้อมที่จะเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ แต่สหรัฐก็จะยังเดินหน้ากดดันเกาหลีเหนือด้วย ‘มาตรการชั้นสูงสุด’ ต่อไป" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐเริ่มมีจุดยืนที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมต่อเกาหลีเหนือ แม้ว่าในระหว่างพิธีเปิดการแข่งขัน เพนซ์จะไม่ได้กล่าวทักทายตัวแทนระดับสูงจากเกาหลีเหนือและปรบมือให้แก่ขบวนพาเหรดรวมของสองเกาหลีเลยก็ตาม
ด้านญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต่อต้านโครงการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ยังคงรักษาไว้ซี่งมารยาทสากล โดยนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ได้กล่าวทักทายตัวแทนของเกาหลีเหนือในระหว่างพิธีเปิด อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งของนายทาโร่ โคโนะ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ที่เดินทางเยือนสิงคโปร์เพื่อพูดคุยกับผู้นำระดับสูงของประเทศ ได้อาศัยโอกาสดังกล่าวเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันกดดันเกาหลีเหนือต่อไป ขณะที่นายโตชิฮิเดะ อันโดะ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่า "เราจำเป็นต้องกดดันเกาหลีเหนือขั้นสูงสุด เพื่อให้เกาหลีเหนือยอมปฏิบัติตามมติขององค์การสหประชาชาติ เราจะยังคงร่วมมือกับสหรัฐและเกาหลีใต้ในการแก้ปัญหาเหนือคาบสมุทรเกาหลี และพวกเราทุกคนต้องไม่หลงกลกับความพยายามของเกาหลีเหนือในการทำภาพลักษณ์ให้ดูดีในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว"
เป็นที่น่าจับตามองว่า กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งนี้ จะสามารถเปิดทางสู่การเจรจาระหว่างเกาหลีเหนือและฝั่งพันธมิตรได้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่ และแนวทางปฏิบัติของประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาคาบสมุทรเกาหลีในจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต