วงการอุตสาหกรรมทั่วโลกต้องสั่นสะเทือนอีกครั้งหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เสนอให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คุมเข้มการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียมโดยอ้างเหตุผลในเรื่องความมั่นคงของชาติ ทั้งๆที่เพิ่งประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เซลล์ไปเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอทางเลือก 3 ทางให้กับประธานาธิบดี ได้แก่ การเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กทุกประเภทที่อัตราอย่างน้อย 24% กับทุกประเทศ หรือจะเก็บภาษีนำเข้าอย่างน้อย 53% กับ 12 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีน คอสตาริกา อียิปต์ อินเดีย มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ ไทย ตุรกี และเวียดนาม ตลอดจนกำหนดโควตาผลิตภัณฑ์ทุกประเภทกับทุกประเทศในอัตราส่วนเท่ากับ 63% ของปริมาณที่แต่ละประเทศส่งออกมายังสหรัฐในปี 2560
ในส่วนของอลูมิเนียมนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เสนอให้รัฐบาลปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมอย่างน้อย 7.7% กับทุกประเทศ หรือเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ทุกประเภทที่อัตรา 23.6% กับจีน ฮ่องกง รัสเซีย เวเนซูเอลา และเวียดนาม และกำหนดโควตานำเข้ากับประเทศอื่นๆ ในอัตราส่วน 100% ของปริมาณที่แต่ละประเทศส่งออกมายังสหรัฐในปี 2560 หรืออาจจะกำหนดโควตาผลิตภัณฑ์ทุกประเภทกับทุกประเทศในอัตราส่วนสูงสุดไม่เกิน 86.7% ของปริมาณที่แต่ละประเทศส่งออกมายังสหรัฐในปี 2560
ข้อเสนอดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์ นอกจากจะสร้างความวิตกกังวลให้กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐเองแล้ว ยังส่งผลให้หลายประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องดังกล่าวต้องออกมาแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ ขณะที่นักวิเคราะห์รายหลายออกมาเตือนว่าผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวอาจเลวร้ายเกินกว่าจะคาดการณ์ได้
- เสียงเตือนจากในประเทศ มาตรการกีดกันการค้าอาจส่งผลร้ายมากกว่าดี
หลังจากข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐถูกเผยแพร่ออกมา บรรดานักการเมือง, นักวิชาการ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายแขนงในสหรัฐได้พร้อมใจกันออกมาแสดงความกังวลต่อนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐที่กำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่านโยบายดังกล่าวจะย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐเอง และจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
ขณะเดียวกันเหล่านักเศรษฐศาสตร์ก็ได้ออกมาเตือนว่า การตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กอาจจะทำให้ประเทศต่างๆ ออกมาตรการกีดกันการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคืออาจทำให้เกิดสงครามการค้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ
- หลายประเทศออกโรงค้าน ขู่ตอบโต้หากกระทบผลประโยชน์
นอกจากเสียงค้านที่เกิดขึ้นในประเทศแล้ว ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ยังทำให้เกิดกระแสคัดค้านขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่ส่งออกเหล็กและอลูมิเนียมจำนวนมากมายังสหรัฐอย่างแคนาดาและตุรกี ก็ได้ออกมาแสดงความกังวลถึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมของประเทศ
ขณะที่จีนซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาของสหรัฐมาโดยตลอดก็ออกมาแสดงความเห็นถึงข้อเสนอดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล และขู่ว่าจะดำเนินการตอบโต้หากการตัดสินใจของสหรัฐส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ
เกาหลีใต้เองก็ได้แสดงปฏิกิริยาที่ดุเดือดต่อข้อเสนอในการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐ พร้อมประกาศจะพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้กลับ และยื่นคำร้องต่อองค์กรการค้าโลก (WTO) หากสหรัฐตัดสินใจที่จะขึ้นภาษีจริง
- บทพิสูจน์ครั้งใหม่ กับการตัดสินใจของทรัมป์
นอกจากเสียงคัดค้านที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเกิดคำถามขึ้นตามมาอีกว่า ทรัมป์จะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร ผู้นำสหรัฐจะเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะสร้างความขัดแย้งทางการค้ากับต่างประเทศมากขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในภาวะที่เคลือบแคลง หลังจากตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแข็งแกร่ง ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังมีเวลาถึงวันที่ 11 เม.ย. ในการตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และ 19 เม.ย.สำหรับการตัดสินใจในเรื่องอลูมิเนียม ในขณะที่หลากฝ่ายต่างยังคงหวังว่า ทรัมป์จะยอมฟังเสียงสะท้อนจากหลายทางเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด