เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นเดือนหายนะของเทสลา มอเตอร์ส บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอันเป็นที่จับตามองของผู้คนทั่วโลก และนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอผู้เป็นหน้าตาของบริษัทรถยนต์แห่งโลกอนาคตนี้
โดยในเดือนมี.ค. เพียงเดือนเดียว หุ้นของเทสลาได้ร่วงลงเกือบ 25% หลังจากที่ได้เผชิญกับมรสุมต่างๆมากมาย ทั้งจากผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ยอดผลิตที่คาดว่าจะพลาดเป้า สภาพคล่องของบริษัท การประกาศเรียกคืนรถยนต์ และที่ร้ายแรงที่สุดคือกรณีผู้ใช้รถยนต์เทสลาประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ทว่าแม้ผ่านพ้นเดือนหายนะนี้ไปแล้ว ดูเหมือนว่าฟ้าฝนยังไม่ค่อยเป็นใจนัก โดยเทสลายังคงเผชิญกับเสียงวิจารณ์อันสืบเนื่องมาจากแถลงการณ์ชี้แจงสาเหตุของอุบัติเหตุดังกล่าว ขณะที่ตัวอีลอน มัสก์ เองก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะซีอีโอผู้นี้ได้ออกมา "ล้อเล่น" ผ่านทวิตเตอร์ว่าบริษัทของตนได้ล้มละลาย ส่งผลให้หุ้นของเทสลาต้องตกเป็นเหยื่อของการเล่นขำครั้งนี้
*วิกฤติความน่าเชื่อถือ
หุ้นเทสลาได้ปรับตัวลดลงอย่างหนักเมื่อเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแรกเริ่มนั้นตลาดมีความวิตกกังวลว่า ยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น "โมเดล ทรี" อาจไม่ถึงเป้าหมายที่สัปดาห์ละ 2,500 คันภายในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นโมเดล ทรี นี้เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของเทสลาที่ผลิตขึ้นเพื่อเจาะตลาด Mass เมื่อเทียบกับแต่เดิมที่เน้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์เพื่อเจาะตลาด Niche ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นของเทสลา จนส่งผลให้เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา หุ้นเทสลาได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
จากนั้นหุ้นเทสลาก็ร่วงลงอีก หลังจากที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทเทสลา ลงสู่ระดับ B3 จากระดับ B2 อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่อง และแนวโน้มยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นโมเดล ทรี ดังกล่าว
และที่ดูร้ายแรงที่สุดคือเหตุการณ์ผู้ขับขี่รถยนต์ เทสลา โมเดล เอ็กซ์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 มี.ค. บนทางหลวงหมายเลข 101 ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของเทสลาเกี่ยวข้องด้วย
*วิกฤติซ้ำสอง เมื่อหลายฝ่ายไม่ปลื้มถ้อยแถลงของเทสลา
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ทีมงานของเทสลาได้เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ผู้ขับขี่รถยนต์ เทสลา โมเดล เอ็กซ์ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเทสลาได้ออกมายืนยันว่า รถยนต์คันดังกล่าวซึ่งประสบอุบัติเหตุชนเข้ากับแนวกั้นถนนและรถอีก 2 คัน จนส่งผลให้ชายผู้ขับขี่วัย 38 ปีเสียชีวิตนั้น วิ่งอยู่ในโหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ
แถลงการณ์ของเทสลาระบุว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุปะทะนั้น "รถวิ่งอยู่ในโหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งมีการตั้งค่าเว้นระยะขณะอยู่ในระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอยู่ที่ระดับต่ำสุด" โดยบันทึกการขับขี่ระบุว่า ชายวัย 38 ปีผู้นี้ได้เพิกเฉยต่อการแจ้งเตือนให้ผู้ขับจับพวงมาลัย และชี้แจงต่ออีกว่า "ผู้ขับได้รับการแจ้งเตือนทางสายตาหลายครั้งและด้วยเสียงหนึ่งครั้งให้นำมือจับพวงมาลัย โดยตัวระบบไม่พบมือผู้ขับอยู่บนพวงมาลัยเป็นเวลา 6 วินาทีก่อนเกิดเหตุชน" นอกจากนี้ เทสลา ยังอธิบายเสริมด้วยว่า "อุบัติเหตุครั้งนี้รุนแรงมาก เนื่องจากแนวลดแรงปะทะ ซึ่งเป็นตัวกั้นอีกชั้นหนึ่งเพื่อลดแรงกระแทกกับแนวกั้นถนนคอนกรีตนั้น ถูกถอดออกไปหรือไม่ก็ถูกชนมาก่อนหน้านี้แต่ยังไม่มีการหาของใหม่มาแทนที่"
แถลงการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากจากทั้งบุคคลทั่วไปและภาครัฐ โดยนักลงทุนบางส่วนมองว่า แถลงการณ์ของเทสลานั้นพยายามกล่าวโทษผู้ขับขี่ และกล่าวโทษทางหลวงที่ไม่หาแนวลดแรงปะทะมาแทนที่ของเดิมที่หายไป ขณะเดียวกันยังอ้างด้วยว่า รถยนต์ของเทสลามีความปลอดภัยมากกว่ารถยนต์ของค่ายอื่นๆ และเป็นไปไม่ได้ที่เทสลาจะป้องกันอุบัติเหตุได้ทั้งหมด ทว่าเทสลาไม่ได้มีการชี้แจงแต่อย่างใดว่า ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในรถยนต์คันดังกล่าวตรวจพบแนวกั้นถนนคอนกรีตนี้หรือไม่ คำชี้แจงดังกล่าวแทนที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับทำให้ความน่าเชื่อถือของเทสลาต้องย่ำแย่ลง
ด้านคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐ (NTSB) ซึ่งเป็นผู้สอบสวนกรณีดังกล่าว ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจที่เทสลาได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลระหว่างการสอบสวนที่ยังไม่เสร็จสิ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกัน ทาง NTSB กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบคำให้การของครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ว่า ตัวผู้เสียชีวิตนั้นเคยแจ้งปัญหาเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติก่อนเกิดเหตุอันน่าสลดนี้แล้ว
*เปิดฉากเดือนใหม่ด้วยมุกตลกจากผู้เป็นซีอีโอ แต่ผู้ถือหุ้นไม่ตลก
คำว่าเริ่มต้นเดือนใหม่อย่างสดใสคงใช้ไม่ได้กับเทสลา เพราะแค่เริ่มต้นเดือนใหม่วันที่ 1 เม.ย. นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอผู้เป็นหน้าตาของบริษัท ได้ทวีตข้อความว่า "เรารู้สึกเสียใจที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า เทสลาได้ล้มละลายโดยสิ้นเชิง ล้มละลายสุดๆ คุณแทบจะไม่เชื่อเลย" ผู้คนทั่วไปอาจมองข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องขำๆ เนื่องจากวันที่ 1 เม.ย. คือวันโกหก หรือที่เรียกว่า April Fool's Day แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว การล้อเล่นดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ซีอีโอของบริษัทมหาชนควรกระทำ เพราะบริษัทกุมเงินของผู้ถือหุ้นไว้ การ "เล่นขำๆ" ครั้งนี้จึงทำให้มูลค่าหุ้นของเทสลานั้นหายไปถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการโกหกขำๆ แต่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า เบื้องหลังการล้อเล่นครั้งนี้อาจมีความจริงอยู่บ้าง ดังคำกล่าวที่ว่า การพูดเล่นมักมีความจริงซ่อนอยู่เสมอ โดยข้อความดังกล่าวอาจสะท้อนถึงแรงกดดันทางจิตใจที่นายอีลอน มัสก์ กำลังแบกรับ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาหนี้สินที่ได้กู้ยืมมาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ถึงเป้าหมาย หรือกรณีผู้ขับขี่รถยนต์ของเทสลาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ การออกมาล้อเล่นดังกล่าวอาจไม่ได้เป็นการล้อเล่นเสียทีเดียว
*หนทางกอบกู้ความเชื่อมั่นของเทสลา กับเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด เมื่อคืนนี้ เทสลาได้ออกมาประกาศว่า เทสลาสามารถทำยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นโมเดล ทรี ได้เพียงสัปดาห์ละ 2,020 คันในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งห่างจากเป้าหมายที่เคยประกาศไว้ที่ 2,500 คัน อย่างไรก็ดี แม้ยอดผลิตพลาดเป้าอย่างที่หลายๆฝ่ายวิตกกัน แต่เทสลาก็ได้ยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีความจำเป็นในการระดมทุนเพิ่มในปีนี้ ซึ่งช่วยผ่อนคลายความวิตกเรื่องสภาพคล่อง ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นและทำให้ราคาหุ้นของเทสลาปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ นักลงทุนยังใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลังเทสลาประกาศตั้งเป้าผลิตรถยนต์รุ่นโมเดล ทรี ที่สัปดาห์ละ 5,000 คันภายในไตรมาสสองของปีนี้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางรายได้ตั้งข้อสงสัยไว้ว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขจริง หรือเป็นตัวเลขที่เทสลาได้ปั้นขึ้นมา โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้มีการทำโมเดลติดตามหมายเลขตัวถังเพื่อใช้ตรวจสอบยอดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นโมเดล ทรี ซึ่งผลปรากฏว่า ตัวเลขของบลูมเบิร์กน้อยกว่าที่เทสลาได้ประกาศไว้ 5% และอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อสงสัยนั้น มาจากการที่นายอีลอน มัสก์ ได้ระบุผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ตนต้องกลับไปนอนที่โรงงานผลิตเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาการผลิตรถรุ่นนี้ แต่ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง เพราะตัวเลขการผลิตที่เกินสัปดาห์ละ 2,000 คันนั้นบ่งชี้ว่า เทสลาเริ่มแก้ไขปัญหาผลิตแบตเตอรี่ไม่ทันประกอบตัวรถได้บ้างแล้ว จากที่แต่เดิมนั้นเทสลาผลิตแบตเตอรี่ได้เพียงสัปดาห์ละ 500 ตัว
แม้ความก้าวหน้าในการผลิตรถยนต์ของเทสลาจะตกเป็นข้อกังขา แต่นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งมองว่า อนาคตของเทสลาเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกันในระยะยาว เพราะเทสลาเป็นบริษัทที่เพิ่งมีขึ้นไม่นานเมื่อเทียบกับเจ้าตลาดรายอื่นๆ ทั้งยังเป็นบริษัทที่ต้องเริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น จึงต้องใช้เงินและเวลาอย่างมากในการผลิตเครื่องจักรที่จะทำหน้าที่ผลิตรถยนต์เหล่านี้อีกต่อหนึ่ง โดยในอนาคตข้างหน้า เทสลาอาจเข้ามาพลิกวงการยนตรกรรมไปตลอดกาล และอาจส่งอิทธิพลต่อไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย ขณะที่ตัวนายอีลอน มัสก์ เอง แม้เขาดูจะทำผิดพลาดไปหลายครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนับได้ว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และความผิดพลาดมักนำมาสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เสมอ จึงขึ้นอยู่กับนักลงทุนแล้วว่าจะยอมให้ซีอีโอหนุ่มวัย 46 ปีผู้นี้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับโลกอนาคตหรือไม่