วันนี้คงไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จักชื่อของ อีลอน มัสก์ ซึ่งปรากฏขึ้นบนพาดหัวของสื่อทุกสำนักเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากการออกตัวอาสามาช่วยพานักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมีจำนวน 13 คนออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน หลังจากติดอยู่ภายในถ้ำมาเป็นเวลานานถึง 17 วัน จนเกิดกระแสฮือฮาไปทั่ว แต่สำหรับในโลกของธุรกิจแล้ว มัสก์ถือเป็นนักธุรกิจผู้สร้างนวัตกรรมที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่ง และในวันนี้ In Focus ก็จะพาไปเจาะลึกแนวคิดและตัวตนของชายผู้เนรมิตนวัตกรรมขึ้นมาสั่นสะเทือนโลกครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นี้
*จุดเริ่มต้นของบุรุษผู้เปลี่ยนโลก
อีลอน มัสก์ หรือ อีลอน รีฟ มัสก์ เกิดที่เมืองพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1971 โดยมีพ่อเป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ชาวแอฟริกัน กับแม่ที่เป็นนางแบบลูกครึ่งอเมริกัน-แคนาดา มัสก์ใช้ชีวิตในวัยเด็กที่แอฟริกาใต้กับพ่อ หลังจากที่พ่อกับแม่แยกทางกันเมื่อเขามีอายุราว 9 ขวบ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่แคนาดากับแม่ในภายหลัง การหย่าร้างของพ่อแม่นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของมัสก์ จากที่เขาเป็นคนที่มีบุคลิกเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว มัสก์ยิ่งกลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้น และใช้ชีวิตแต่ละวันขลุกอยู่กับการอ่านหนังสือนับสิบชั่วโมง โดยเขาอ่านหนังสือทุกประเภทตั้งแต่วิทยาศาสตร์ ปรัชญา เทคโนโลยี หรือแม้แต่การ์ตูนที่เต็มไปด้วยเหล่าฮีโร่มากมาย ซึ่งนี่เองได้จุดประกายให้เขาอยากลุกขึ้นมาใช้ชิวีตเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติ
ความเป็นอัจฉริยะของมัสก์เริ่มปรากฏให้เห็นในวัย 12 ปี เมื่อเขาลงเรียนคอร์สเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสามารถเรียนจบได้ในเวลาเพียง 3 วัน ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาเรียนหลายเดือน โดยเขาได้เขียนเกมที่มีชื่อว่า Blaster ขายให้กับนิตยสาร PC and Office Technology จนได้เงินมาจำนวนหนึ่ง หลังจากจบม.ปลาย มัสก์ได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับแม่ที่แคนาดา จากนั้นจึงไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียจนจบปริญญาตรีในสาขาฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ก่อนจะตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเขาเข้าไปเรียนได้เพียง 2 วัน ก่อนจะลาออกเพื่อมาสานฝันของตัวเอง
*ชายผู้ทุ่มสุดตัวไปกับการทำงาน
มัสก์เริ่มธุรกิจแรกในชีวิตด้วยการตั้งเว็บไซต์ทำคอนเทนต์ออนไลน์ที่มีชื่อว่า Zip2 ร่วมกับน้องชายของเขา โดยมีพ่อเป็นผู้สนับสนุนเงินทุน ในระหว่างการทำเว็บไซต์นั้น ทั้งเขาและน้องต่างก็ทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก ชนิดที่เรียกว่ากินนอนกันอยู่ในออฟฟิศแทบจะตลอดเวลา จนในที่สุดความทุ่มเทของเขาก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อ Compaq เข้ามาเสนอซื้อเว็บไซต์ดังกล่าวไปเป็นจำนวนเงินถึง 341 ล้านดอลลาร์ และมัสก์ก็ได้รับเงินส่วนแบ่งจากนายทุนที่มาร่วมลงทุนด้วยจำนวน 22 ล้านดอลลาร์
จากธุรกิจแรกจนถึงวันนี้ มัสก์ยังคงทุ่มเทให้กับการทำงานของเขาอยู่เสมอ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าตนทำงานหนักไม่ต่ำว่า 80-100 ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์ โดยให้เหตุผลว่านี่เป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จของเขา ในขณะที่คนอื่นๆ ทำงานกันเพียง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่เขากลับใช้เวลามากถึง 100 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าตัวเขาจะสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นกำลังทำอยู่ให้สำเร็จได้ภายใน 4 เดือน ในขณะที่คนอื่นๆ กลับต้องใช้เวลาเป็นปี
นอกจากนี้ มัสก์ยังเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับทุกอย่างที่เขาทำเป็นอย่างมาก จากนิสัยที่สามารถอ่านหนังสือเป็นสิบชั่วโมงได้ตั้งแต่เด็กนี่เองที่ทำให้มัสก์สามารถควบคุมตัวเองและมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำเป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่เรียกว่ากัดไม่ปล่อย คือเมื่อเริ่มทำอะไรบางอย่างแล้ว เขาจะไม่หยุดทำมันจนกว่าจะประสบความสำเร็จ จนทำให้ผู้ร่วมงานหลายคนมองว่า มัสก์เป็นคนที่มีบุคลิกเย็นชาและมีอีโก้สูงจนเกินไป
*มองไปข้างหน้าตลอดเวลา
หากมองไปยังธุรกิจของเขา สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือมัสก์มักจะนำผลกำไรที่ได้มาต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งที่เขาเอากำไรจากการขายธุรกิจหนึ่งมาสร้างอีกธุรกิจหนึ่งที่เติบโตยิ่งกว่าไม่น้อยกว่า 45% โดยครั้งแรก หลังจากที่ได้เงินมาจกการขาย Zip2 มัสก์ได้แบ่งเงินถึง 10 ล้านดอลลาร์มาก่อตั้งบริษัท x.com ในปี 2000 และต่อมาก็เข้าไปซื้อการของสตาร์ทอัพฟินเทคที่มีชื่อว่า Confinity จนเกิดเป็น PayPal ระบบการชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนจะถูกปลดออกจากการเป็นผู้บริหาร PayPal ในตอนหลัง โดยมัสก์ก็ได้ส่วนแบ่งจากการที่ eBay เข้ามาขอซื้อกิจการของ PayPal ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นจำนวนเงินถึง 180 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาได้นำเงินจำนวนนั้นมาลงทุนในบริษัท SpaceX เพื่อสานฝันวัยเด็กของเขาต่อไป
*ไม่หันหลังให้กับความล้มเหลว
ความใฝ่ฝันว่าอยากออกไปท่องอวกาศของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์อ่านหนังสือเรื่อง The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งนี่ทำให้เขาตัดสินหันเขาสู่วงการอวกาศเต็มตัว มัสก์ได้เดินทางไปรัสเซียเพื่อขอซื้อจรวดที่ปลดประจำการแล้วเพื่อนำมาทำการทดลอง แต่กลับรู้สึกว่ามีราคาแพงไป ก็เลยตัดสินใจพัฒนาเองทั้งหมด และแน่นอนว่าการสร้างจวรดต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้เขาค่อนข้างใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากพอสมควรในเวลานั้น แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ มัสก์ได้ตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อ Tesla ขึ้นมาเพื่อนำเอาเงินจากการขายรถยนต์ไฟฟ้ามาสนับสนุนโครงการสร้างจรวดของเขาจนในที่สุดจรวดลำแรกที่มีชื่อว่า Falcon 1 ถูกสร้างสำเร็จในปี 2006 และถูกปล่อยออกไปนอกอวกาศเป็นครั้งแรก ก่อนจะร่วงลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และจมหายไปพร้อมกับเงินจำนวนทุนมหาศาล
ความล้มเหลวของ Falcon 1 ได้สร้างความผิดหวังและเสียใจให้กับทีมงานกว่า 300 ชีวิตของ SpaceX เป็นอย่างมาก เพราะคิดว่าโครงการดังกล่าวคงต้องยุติลงตั้งแต่วันนั้น แต่มัสก์กลับลุกขึ้นมาบอกกับทีมงานของเขาว่า เขาได้กันเงินทุนไว้สำหรับความล้มเหลวในครั้งนี้แล้ว เพราะฉะนั้นโครงการของ SpaceX จะต้องดำเนินต่อไป จากนั้นมัสก์และทีมงานก็ได้ทุ่มเททดลองและพัฒนาต่อไป และก็ประสบความล้มเหลวอีกหลายต่อหลายครั้งจนในที่สุด Falcon 1 ก็ได้กลายเป็นจรวดเอกชนรายแรกที่พุ่งออกไปนอกโลกได้สำเร็จ
*เลือกทุกอย่างรอบตัวให้ดีที่สุด
มัสก์มักจะเลือกคนเก่งๆ มาทำงานด้วยเสมอ และเขาก็ชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคนเหล่านั้นเพื่อเรียนรู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน โดยเขาเคยกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่า ถ้าคุณต้องการร่วมงานกับบริษัทแห่งใดแห่งหนึ่ง จงเลือกบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อดึงดูดบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาอยู่รอบตัวคุณ
ในขณะเดียวกัน มัสก์ก็ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และไม่เคยปล่อยให้สิ่งที่เขาไม่รู้ผ่านไป เช่นเดียวกับที่เขาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากผู้อื่น และนำมันมาแก้ไขปรับปรุงอยู่เสมอ โดยเขามักจะใช้ทวิตเตอร์เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับผู้คน รวมทั้งทวีตเรื่องราวผลงานของบริษัท ตลอดจนเรื่องส่วนตัวทั่วๆ ไปวันละหลายๆ รอบ อีกทั้งยังพูดคุยตอบโต้กับคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกับเขาอยู่เสมอๆ จนมีครั้งหนึ่งที่มีลูกค้าเข้ามาตำหนิรถ Tesla ของเขา ซึ่งมัสก์ก็ได้ทำการแก้ไขให้ในทันที
*เร็วกว่าย่อมได้เปรียบ
ความบ้าระห่ำของมัสก์ยังไม่หมดแค่นั้น หากสังเกตไปที่ธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น PayPal, การสร้างจรวดของ SpaceX, รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla และธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ Solar City หรือแม้แต่โครงการระบบขนส่งความเร็วสูง Hyperloop จะพบว่าล้วนเป็นสิ่งที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงหรือไม่คิดที่จะทำกัน และนี่เองทำให้มัสก์เดินนำคนอื่นอยู่ก้าวนึงเสมอ เขามีความสุขกับการที่ได้แก้ไขปัญหาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมๆ กับการคิดค้นผลิตภัณฑ์ชั้นยอดซึ่งเป็นที่หนึ่งมาป้อนให้กับตลาด ตามความมุ่งมั่นที่อยากจะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของมนุษยชาติให้ดียิ่งขึ้น
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงให้เห็นว่าทำไมชายผู้นี้จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นไอรอนแมนในโลกแห่งความเป็นจริง ความเป็นอัจฉริยะส่วนหนึ่งไม่ใช่เพียงเพราะโชคช่วย หากแต่เป็นความกล้าหาญและทุ่มเทที่ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักนวัตกรรมแถวหน้าของโลกอย่างทุกวันนี้