จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการแถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรส (State of the Union) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถือเป็นการแถลงนโยบายประจำปีครั้งที่ 2 จากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นปีที่ 3
การแถลงนโยบายประจำปีเป็นธรรมเนียมที่ประธานาธิบดีสหรัฐต้องปฏิบัติทุกปี ยกเว้นในปีแรกที่ดำรงตำแหน่ง โดยส่วนใหญ่แล้วจะจัดขึ้นในเดือนมกราคม ในคืนวันอังคารตามเวลาสหรัฐ ซึ่งตรงกับช่วงเช้าหรือช่วงสายของวันพุธตามเวลาประเทศไทย สำหรับปีนี้การแถลงนโยบายประจำปีจัดขึ้นในวันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ตามเวลาสหรัฐ โดยเลื่อนมาจากวันที่ 29 มกราคม เพราะมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากหน่วยงานของรัฐบาลที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการแถลงนโยบายประจำปีได้ปิดทำการชั่วคราวเพราะขาดแคลนงบประมาณ หรือชัตดาวน์
สิ่งที่ประธานาธิบดีสหรัฐแถลงมักครอบคลุมเรื่องของงบประมาณ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ไปจนถึงแผนการในอนาคตที่ต้องขอความร่วมมือจากสภาคองเกรส ขณะเดียวกัน ทุกปีจะต้องมีเหตุการณ์ที่สร้างแรงกดดันให้กับการแถลงนโยบายประจำปี ซึ่งปีนี้ประกอบด้วยเรื่องภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ การบรรลุข้อตกลงสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกให้ทันเส้นตายก่อนเกิดชัตดาวน์อีกครั้ง รวมถึงการสืบสวนคดีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2559
*ชูความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ "ทั่วโลกอิจฉา"
ผู้นำสหรัฐเปิดฉากการแถลงนโยบายประจำปีอย่างสวยหรูด้วยการกล่าวว่า "สิ่งที่ผมจะกล่าวถึงในค่ำคืนนี้ไม่ใช่วาระของรีพับลิกันหรือวาระของเดโมแครต แต่เป็นวาระของชาวอเมริกันทุกคน" จากนั้นได้ชูความสำเร็จทางเศรษฐกิจโดยระบุว่า นับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี เศรษฐกิจสหรัฐก็ขยายตัวมากขึ้นเกือบสองเท่า มีการสร้างตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 5.3 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบครึ่งศตวรรษ และค่าแรงเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบหลายสิบปี พร้อมย้ำว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐทำให้ทั่วโลกอิจฉา ขณะเดียวกัน ทรัมป์อ้างว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถปรับลดกฎระเบียบต่างๆได้มากกว่าและใช้เวลาสั้นกว่ารัฐบาลชุดอื่นๆ พร้อมกับระบุว่าความอัศจรรย์ทางเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และสิ่งที่จะมาขัดขวางก็มีแค่สงคราม การเมืองงี่เง่า และการตรวจสอบแบบเลือกข้างที่ไร้สาระ ซึ่งเขาหมายถึงการตรวจสอบกรณีรัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐในปี 2559
*หนุนการเข้าเมืองถูกกฎหมาย
สำหรับประเด็นความมั่นคงชายแดนนั้น ปธน.ทรัมป์ไม่ลืมที่จะเรียกร้องให้สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก โดยกล่าวว่าขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่สภาคองเกรสจะต้องแสดงให้โลกเห็นว่า อเมริกามุ่งมั่นที่จะยุติการรับผู้ลี้ภัยที่ผิดกฎหมาย รวมถึงขจัดนักค้ายาและนักค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป ผู้นำสหรัฐยังเน้นย้ำด้วยว่ากำแพงนี้ไม่ใช่แค่กำแพงคอนกรีตธรรมดา แต่เป็นแนวกั้นเหล็กกล้าที่ชาญฉลาดและมียุทธศาสตร์ พร้อมยกตัวอย่างเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เคยมีอัตราการเข้าเมืองผิดฎหมายสูงสุดในประเทศ แต่พอมีการสร้างกำแพงตามคำเรียกร้องของชาวเมือง ปัญหาดังกล่าวก็แทบจะหมดไปโดยสิ้นเชิง ส่วนเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส ที่เคยมีอัตราการเกิดอาชญากรรมรุนแรงสูงมาก และเป็นหนึ่งในเมืองที่อันตรายที่สุดในประเทศ ก็กลับกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อมีการสร้างกำแพง
เขาระบุว่า ปัญหาบริเวณชายแดนตอนใต้ของประเทศคือภัยคุกคามความปลอดภัย ความมั่นคง และสถานะทางการเงินของชาวอเมริกัน จึงจำเป็นต้องมีการวางระบบตรวจคนเข้าเมืองที่สามารถปกป้องชีวิตและงานของชาวอเมริกัน นอกจากนี้ เขาได้สนับสนุนการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย โดยระบุว่าการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายช่วยพัฒนาประเทศและสร้างความแข็งแกร่งทางสังคมในหลายๆทาง พร้อมกับย้ำว่ายินดีให้คนเข้ามาในสหรัฐ แต่ต้องมาแบบถูกกฎหมายเท่านั้น
*ไม่ยอมเสียเปรียบทางการค้า
ผู้นำสหรัฐแสดงจุดยืนมาตลอดว่าจะไม่ยอมให้ประเทศเสียเปรียบทางการค้า และในการแถลงนโยบายครั้งนี้ เขาได้ประกาศว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะต้องมีการแก้ไขในประเด็นโครงสร้างและการขาดดุล โดยข้อตกลงการค้ากับจีนไม่ควรมุ่งแก้ไขยอดขาดดุลการค้าที่เรื้อรังของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังควรพุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆของจีน เพื่อปกป้องแรงงานและธุรกิจของสหรัฐด้วย โดยเขาได้ประสานกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อผลักดันข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ แต่จะต้องมีการระบุถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างอย่างแท้จริงเพื่อยุติการค้าที่ไม่เป็นธรรม ลดยอดขาดดุลการค้าที่เรื้อรัง และปกป้องงานของชาวอเมริกัน
ขณะเดียวกัน เขาได้กล่าวถึงข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่จะเข้ามาแทนที่ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) โดยแสดงความเชื่อมั่นว่าข้อตกลงใหม่จะนำตำแหน่งงานกลับคืนมา รวมถึงช่วยผลักดันให้ภาคการเกษตรขยายตัว และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Trade Act) โดยระบุว่า หากประเทศใดกำหนดอัตราภาษีที่ไม่เป็นธรรมต่อสินค้าของสหรัฐ สหรัฐก็ควรสามารถเรียกเก็บภาษีในระดับเดียวกันกับสินค้าประเภทเดียวกันที่ประเทศนั้นๆขายให้กับสหรัฐ
*ความมั่งคงของประเทศ
ปธน.ทรัมป์ ปิดท้ายการแถลงนโยบายประจำปีด้วยประเด็นความมั่นคงของประเทศ เขาได้กล่าวถึงสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty หรือ INF) ที่ทำร่วมกับสหภาพโซเวียตเมื่อปี 2530 โดยระบุว่าสหรัฐปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่รัสเซียกลับละเมิดเงื่อนไขครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเป็นเหตุให้สหรัฐประกาศถอนตัวจากสนธิสัญญาดังกล่าว
ขณะเดียวกัน เขาได้กล่าวถึงสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยระบุว่าขณะนี้ตัวประกันสหรัฐในเกาหลีเหนือได้กลับบ้าน การทดสอบนิวเคลียร์ก็ถูกระงับ รวมถึงไม่มีการยิงขีปนาวุธมานาน 15 เดือนแล้ว และหากเขาไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ตอนนี้สหรัฐคงทำสงครามกับเกาหลีเหนือไปแล้ว พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยืนยันว่าการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างเขากับนายคิม จอง อึน จะจัดขึ้นในวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์นี้ที่ประเทศเวียดนาม สำหรับประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจในการประชุมครั้งนี้ก็คือ ความชัดเจนในการยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ หลังจากที่ข้อตกลงเรื่องการยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ในการประชุมครั้งแรกไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด แม้ว่าผู้นำเกาหลีเหนือได้ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้ายกนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีอย่างสมบูรณ์ ขณะที่ผู้นำสหรัฐให้คำมั่นว่าจะให้การรับประกันความมั่นคงแก่เกาหลีเหนือ
สำหรับจุดยืนในตะวันออกกลาง เขาประกาศว่า "ประเทศที่ยิ่งใหญ่จะไม่ต่อสู้ในสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด" โดยสำหรับสถานการณ์ในซีเรียนั้น เขาระบุว่า ตอนที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี กลุ่ม ISIS แผ่อิทธิพลกว้างขวางในอิรักและซีเรีย แต่ตอนนี้สามารถปลดปล่อยซีเรียจาก ISIS ได้แล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้อนรับเหล่าทหารหาญกลับบ้านอย่างอบอุ่น
ในช่วงท้ายของการแถลงนโยบายประจำปี ปธน.ทรัมป์ได้ขอให้สมาชิกสภาคองเกรสมองไปยังโอกาส ความสำเร็จ และชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ยังรออยู่ข้างหน้า "ไม่ว่าจะเผชิญบททดสอบใด ไม่ว่าจะเผชิญความท้าทายใด เราต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน"