การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังจะเปิดฉากขึ้นที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ในช่วงเย็นวันนี้ จะถูกจารึกไว้เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของโลก หลังจากที่ผู้นำทั้งสองเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่งที่สิงคโปร์ เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว
ขณะนี้ ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำคิมต่างก็เดินทางถึงเวียดนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมพูดคุยและรับประทานอาหารเย็นร่วมกันในเวลาประมาณ 18.30 น. ตามเวลาเวียดนามและเวลาไทย ก่อนมีการประชุมร่วมกันในประเด็นสำคัญๆ อย่างแผนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ และการประกาศยุติภาวะสงครามบนคาบสมุทรเกาหลีในวันพรุ่งนี้
การพบกันของผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐ ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ นับเป็นวาระสำคัญที่ทั่วโลกเฝ้ารอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลลัพธ์จากการประชุมตลอด 2 วัน ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอีกฉากที่จะกำหนดอนาคตความมั่นคงของโลกต่อไป อย่างไรก็ดี ก่อนที่การประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้จะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ยังมีเรื่องราวน่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมมาไว้ที่นี่
"คิม จอง อึน" นั่งรถไฟจากเปียงยางมาเวียดนาม
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วโลก ตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือยังไม่เปิดฉากขึ้นก็คือ การเดินทางของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่เลือกใช้วิธีเดินทางโดยรถไฟเป็นระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร โดยเริ่มออกเดินทางจากกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือตั้งแต่วันเสาร์ เข้าสู่ประเทศจีนทางชายแดนเมืองตานตง ผ่านเมืองเทียนจิน อู๋ฮั่น และเข้าเทียบชานชาลาที่สถานีรถไฟเมืองดงดังในจังหวัดหลั่งเซิน ชายแดนของเวียดนาม เมื่อเวลาประมาณ 8.15 น. ของวันจันทร์ ก่อนเดินทางต่อด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปยังกรุงฮานอย ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 170 กิโลเมตร คิดเป็นเวลาเดินทางรวมกันมากกว่า 60 ชั่วโมง
รถไฟที่นายคิม จอง อึน ใช้โดยสารมานั้นเป็นรถไฟขบวนเดียวกันกับที่นายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือคนก่อน และเป็นพ่อของเขา เคยใช้เดินทางเยือนจีน รัสเซีย และยุโรปตะวันออก อีกทั้งยังเป็นขบวนเดียวกับที่นายคิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งและผู้นำเกาหลีเหนือคนแรก ใช้เดินทางเยือนเวียดนามเพื่อพบกับนายโฮจิมินห์มาแล้ว โดยรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟหุ้มเกราะที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาหารคาวหวานและไวน์ชั้นเลิศ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียม เพื่อให้ผู้นำเกาหลีเหนือสามารถติดตามรายงานต่างๆ จากในประเทศได้ตลอดเวลา จนหลายคนเทียบว่า เปรียบได้กับเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันของประธานาธิบดีสหรัฐเลยทีเดียว
การเดินทางโดยรถไฟของนายคิม จอง อึน ในครั้งนี้ ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายคิม จอง อึน โดยสารรถไฟออกไปยังต่างประเทศ โดยเขาเคยใช้รถไฟขบวนนี้เดินทางไปกรุงปักกิ่ง และเมืองอื่นๆ ของจีนมาแล้ว แต่นี่ก็เป็นการเดินทางโดยรถไฟที่ใช้เวลายาวนานที่สุด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า การที่นายคิมเลือกเดินทางโดยรถไฟนั้น อาจเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่าเขากำลังเดินตามรอยเท้านายคิม อิล ซุง ผู้เป็นปู่ของเขา อีกทั้งยังเป็นการป่าวประกาศให้ประชาคมโลกรับรู้ว่า เกาหลีเหนือมีเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อกับจีนไปจนถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังชี้อีกว่า การที่นายคิมเลือกเดินทางโดยรถไฟผ่านจีนมายังเวียดนามนั้น เป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างเกาหลีเหนือกับจีน ซึ่งเป็นมิตรประเทศเพียงหนึ่งเดียวที่คอยสนับสนุนและเป็นที่ไว้วางใจของเกาหลีเหนือตลอดมา โดยในการประชุมสุดยอดกับปธน.สหรัฐครั้งก่อน ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์นั้น ผู้นำเกาหลีเหนือก็ได้เช่าเครื่องบินส่วนตัวจากจีนเพื่อเดินทางไปร่วมประชุมในครั้งนั้นด้วย
"คิม โย จอง" เจ้าหญิงแห่งเกาหลีเหนือ ผู้ปรากฏตัวในวาระสำคัญเสมอ
หากยังจำกันได้ ในการประชุมกับประธานาธิบดีสหรัฐครั้งก่อนที่สิงคโปร์ นายคิม จอง อึน เดินทางไปร่วมประชุมพร้อมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือ และนางคิม โย จอง น้องสาวคนสุดท้องของเขา ซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ปรากฏตัวอยู่ที่โต๊ะประชุมเคียงข้างนายคิม ทำให้ชื่อของนางคิม โย จอง เป็นที่สนใจของประชาคมโลกมาตั้งแต่นั้น และเช่นเดียวกัน ในการประชุมซัมมิตรอบ 2 ที่เวียดนามนี้ ก็มีชื่อของ นางคิม โย จอง ปรากฏอยู่ในคณะผู้ติดตามของนายคิม จอง อึน ด้วยเช่นกัน
ว่ากันว่านางคิม โย จอง เป็นน้องสาวคนโปรดที่ได้รับความไว้วางใจจากนายคิม จอง อึน เป็นอย่างมาก และได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญๆ แทนผู้นำเกาหลีเหนืออยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูหนาว ที่เมืองพย็องซัง ของเกาหลีใต้ และเป็นผู้แทนทางการทูตของเกาหลีเหนือในการพบปะประธานาธิบดีมูน แจ อิน แห่งเกาหลีใต้ อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกกรมการเมืองที่ดูแลด้านโฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือ โดยเธอมีหน้าที่สำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง แต่อ่อนโยน ใจดี มีเมตตา และเข้าถึงได้ให้กับผู้นำเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าความสนิทชิดเชื้อระหว่างนายคิม จอง อึน กับ นายเดนนิส ร็อดแมน นักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอชื่อดังก็เป็นผลงานของเธออีกด้วย
สำหรับนางคิม โย จอง นั้นเป็นบุตรคนสุดท้องและลูกสาวคนเดียวของนายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือคนก่อน กับนางโค ยอง ฮุย ภรรยาคนที่ 3 ของนายคิม จอง อิล คาดว่าเธอมีอายุราว 30 ปีเศษ และเป็นที่กล่าวขานว่า เธอเป็นลูกสาวคนโปรดของอดีตผู้นำเกาหลีเหนือ โดยพ่อของเธอมักจะเรียกเธอว่า "เจ้าหญิงโยจอง" ขณะเดียวกันก็เคยมีรายงานออกมาว่า ผู้นำคิมคนก่อนเคยบอกกับสหายต่างชาติของเขาว่า ลูกสาวคนเล็กของเขาสนใจและอยากทำงานในด้านการเมือง
นางคิม โย จอง จึงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ถูกจับตาในการประชุมสุดยอดผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐครั้งนี้ แม้ว่าเธออาจไม่มีโอกาสได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศเนื่องจากเป็นผู้หญิง ซึ่งขัดต่อหลักการขงจื้อ แต่สิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายยอมรับก็คือหญิงผู้นี้จะมีอิทธิพลในการกำหนดอนาคตของเกาหลีเหนืออย่างแน่นอน
คอสเพลย์ "คิม จอง อึน" ถูกเนรเทศออกจากเวียดนาม ก่อนตัวจริงมาถึง
อีกหนึ่งสีสันที่ได้รับความสนใจไม่น้อยก่อนที่การประชุมครั้งประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น ก็คือการปรากฏตัวของนายฮาเวิร์ด เอ็กซ์ นักแสดงเสียดสีการเมืองชาวออสเตรเลียเชื้อสายจีนจากฮ่องกง ผู้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับผู้นำเกาหลีเหนือ และนายเซลล์ ไวท์ คนหน้าเหมือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เดินทางมาถึงเวียดนามก่อนการประชุมซัมมิต พร้อมเปิดการแสดงล้อเลียนการประชุมที่หน้าโรงละครในกรุงฮานอย โดยทั้งสองเคยปรากฏตัวพร้อมกันมาแล้วครั้งหนึ่งในการประชุมสุดยอดผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐรอบแรกที่สิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว
การแสดงดังกล่าวส่งผลให้นักแสดงทั้งสองรายถูกตำรวจเวียดนามนำตัวไปสอบสวน ก่อนที่นายเอ็กซ์จะถูกส่งตัวกลับฮ่องกงเพราะถูกยกเลิกวีซ่า โดยไม่มีการชี้แจงรายละเอียดแต่อย่างใด ขณะที่นายไวท์ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเวียดนามต่อไปโดยมีเงื่อนไขว่าห้ามปรากฏตัวในที่สาธารณะด้วยการแต่งกายล้อเลียนประธานาธิบดีสหรัฐอีก
การเนรเทศนักแสดงล้อเลียนนายคิม จอง อึน ออกจากเวียดนามในครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะเขามักปรากฏตัวในลักษณะของการล้อเลียนผู้นำเกาหลีเหนือบ่อยครั้ง จนสร้างความไม่พอใจให้กับทางการเกาหลีเหนือ โดยครั้งหนึ่งเขาได้เคยแต่งกายเลียนแบบผู้นำคิมไปปรากฏตัวในระหว่างพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องซัง ของเกาหลีใต้ ซึ่งมีผู้แทนระดับสูงของเกาหลีเหนือเข้าร่วมอยู่ในพิธีด้วย อีกทั้งยังชอบสร้างกระแสที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อยู่เนืองๆ
เศรษฐกิจฮานอยคึกคัก รับซัมมิตทรัมป์-คิม
สำหรับบรรยากาศในกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐ-เกาหลีเหนือ เรียกได้ว่าคีกคักมาตั้งแต่การประชุมยังไม่เปิดฉาก โดยบรรดาผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ต่างพากันสร้างสรรค์เมนูอาหาร รวมถึงสินค้าต่างๆ ออกมาเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสนี้ เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า
ร้าน "Durty Bird" นำเสนอเบอร์เกอร์ 2 เมนูใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบุคลิกของผู้นำทั้งสอง โดยเมนูที่มีชื่อว่า "Durty Donald" ประกอบด้วยเนื้อ 2 ชิ้น เบคอน 2 ชิ้น ชีส และเนื้อไก่ฉีกฝอย ก่อนราดด้วยซอสรัสเซียนเดรสซิ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของหรูหราฟุ้งเฟ้อแบบปธน.ทรัมป์และแอบเสียดสีความสัมพันธ์ระหว่างปธน.ทรัมป์กับรัสเซีย ส่วนเมนู "Kim Jong Yum" นั้นประกอบไปด้วย หมูสามชั้นรมควัน เนื้อหมูป่า ราดทับด้วยมายองเนสกิมจิ ก่อนนำกิมจิซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของชาวเกาหลีมาทอดกรอบและวางไว้ชั้นบนสุด
ขณะที่ร้าน Unicorn Bar ก็ออกเมนูค็อกเทลที่มีชื่อว่า "Rock It, Man" ซึ่งมาจากคำเรียกขานที่ปธน.ทรัมป์เคยเรียกนายคิม จอง อึน ว่าเป็น "Rocket Man" ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือยังไม่สู้ดีนัก โดยใช้ส่วนผสมของ อเมริกัน เบอร์เบิ้น วิสกี้ และเหล้าโซจู เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนผู้นำทั้งสองประเทศ พร้อมด้วยสับปะรดที่เป็นผลไม้เมืองร้อนตัวแทนของเวียดนาม ก่อนประดับด้วยธงชาติสหรัฐและเกาหลีเหนือเพื่อเฉลิมฉลองวาระพิเศษนี้
นอกจากบรรดาร้านอาหารที่พากันรังสรรค์เมนูพิเศษขึ้นมาเพื่อการนี้แล้ว ตามท้องถนนในกรุงฮานอยยังปรากฏภาพของทั้งสองผู้นำ รวมถึงธงชาติของแต่ละประเทศอยู่บนเสื้อผ้า ผลงานศิลปะ และสินค้าต่างๆ อีกทั้งชาวเวียดนามจำนวนมากก็ยังแห่ไปตัดผมทรงเดียวกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความคึกคักมีชีวิตชีวาให้กับเมืองหลวงของเวียดนามเป็นอย่างมาก
นานาชาติขานรับชื่นมื่น หวังเห็นผลลัพธ์การประชุมเป็นรูปธรรม
การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและสหรัฐในครั้งนี้ นับเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง และได้รับเสียงตอบรับจากนานาประเทศอย่างมาก หลังจากที่การประชุมสุดยอดครั้งก่อนที่สิงคโปร์ไม่ปรากฏความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมออกมาจากทั้งสองฝ่าย จนสร้างความเคลือบแคลงสงสัยมาถึงขณะนี้ โดยเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศใกล้ชิดของเกาหลีเหนือ ได้ออกมาแสดงความหวังก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐและเกาหลีเหนือจะประกาศยุติสงครามเกาหลีระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำของทั้งสองประเทศในครั้งนี้ ในขณะที่ประธานาธิบดีมูน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ก็ออกมาเปิดเผยว่าการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญสำหรับการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีอย่างถาวร
ด้านญี่ปุ่นซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียตะวันออกที่อยู่ใกล้เกาหลีเหนือ ก็ออกมาแสดงความคาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะนำไปสู่การแก้ไขประเด็นที่เกาหลีเหนือได้ลักพาตัวชาวญี่ปุ่นเมื่อครั้งอดีต รวมไปถึงการยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
ในขณะที่จีนซึ่งเป็นมิตรประเทศเพียงหนึ่งเดียวของเกาหลีเหนือก็ออกมาแสดงความยินดีกับการประชุมดังกล่าว พร้อมระบุว่า จีนคาดหวังว่าการประชุมสุดยอด ครั้งที่ 2 ระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะประสบความสำเร็จด้วยดี
การประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้จะดำเนินไปอย่างไร และจบลงด้วยผลลัพธ์ตามที่ประชาคมโลกต้องการหรือไม่ หรือเป็นเพียงละครฉากใหญ่อีกฉากดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสิงคโปร์ เราจะได้รับรู้ไปพร้อมๆกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงจากนี้