ปีนี้เป็นปีที่หลายประเทศในหลากทวีปเดินหน้าจัดการเลือกตั้งกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทั้งการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยูเครน ตุรกี หรือแม้แต่ประเทศไทย โดยหนึ่งในศึกเลือกตั้งที่ถูกจับตาและจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 11 เม.ย. นี้ คือ การเลือกตั้งของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำอย่าง "อินเดีย" ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
พรรคภารติยะชนตะหรือบีเจพีของนายโมดี ถูกฟันธงว่าจะต้องเผชิญศึกหนักจากคู่แข่งอย่างพรรคคองเกรส ซึ่งมีนายราหุล คานธี เป็นหัวหน้าพรรค แม้ว่าจะมีอีกหลายสำนักที่คาดการณ์ว่า พรรคบีเจพีจะคว้าชัยชนะด้วยผลงานด้านความมั่นคงและความก้าวหน้าของประเทศที่นายโมดีและพรรคบีเจพีได้ผลักดันจนเป็นรูปธรรม แต่ปัญหาเศรษฐกิจและอัตราว่างงานที่เรื้อรังของประเทศกลับกลายเป็นขวากหนามที่สำคัญของนายกฯคนปัจจุบันของอินเดีย In Focus สัปดาห์นี้ จะพาไปสำรวจสถานการณ์รอบด้าน ก่อนที่อินเดียจะเปิดคูหาเลือกตั้ง ซึ่งกินเวลานานถึง 5 สัปดาห์ตั้งแต่ 11 เม.ย.-19 พ.ค.
อินเดียมีประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประมาณ 900 ล้านราย อีกทั้งยังเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้น การจัดการเลือกตั้งของอินเดียจึงถูกแบ่งออกเป็น 7 ขั้นตอน ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.- 19 พ.ค. อินเดียจะนับคะแนนและประกาศผลการเลือกตั้งในวันที่ 23 พ.ค.
พรรคการเมืองหลักที่เป็นคู่ชิงหลัก ได้แก่ พรรคบีเจพีของนายโมดี และพรรคคองเกรสของนายราหุล คานธี การเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ จะเป็นการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีชื่อว่า "โลกสภา" (Lok Sabha) จำนวน 543 คน โดยพรรคที่ได้เสียงข้างมาก จะต้องกวาดส.ส.ให้ได้ 272 ที่นั่ง หรือเกินครึ่งในสภาผู้แทนฯ จึงจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ
ความเคลื่อนไหวที่สามารถเรียกความสนใจได้จากทั้งในและต่างประเทศเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนมี.ค. เมื่อนายโมดีได้ออกมาประกาศสถานะการเป็นประเทศมหาอำนาจด้านกิจการอวกาศของอินเดีย ภายหลังจากที่อินเดียประสบความสำเร็จในปฏิบัติการศักติ หรือ Mission Shakti โครงการทดสอบขีปนาวุธทำลายดาวเทียม (ASAT) ด้วยการยิงอาวุธจากภาคพื้นดินเพื่อทำลายดาวเทียมที่อยู่ในระดับวงโคจรต่ำ
การออกมาประกาศความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดไว้ในแผนการ แต่หลายฝ่ายก็มองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการหาเสียงของนายโมดีก่อนหน้าการเลือกตั้ง นายโมดีกล่าวว่า ความสำเร็จของการยิงขีปนาวุธทำลายดาวเทียมครั้งนี้ ทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่ 4 ที่ครอบครองเทคโนโลยีดังกล่าว นอกเหนือไปจากสหรัฐ จีน และรัสเซีย
นายกฯอินเดียกล่าวว่า ความสำเร็จดังกล่าวจะทำให้อินเดียแข็งแกร่งขึ้นและมีความมั่นคง ตลอดจนสร้างสันติภาพและความกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวได้มากยิ่งขึ้น
ในขณะที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) มองว่า การทดสอบระบบยิงดาวเทียมดังกล่าวถือเป็นสถานการณ์ที่อันตรายต่อสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เนื่องจากการทำลายดาวเทียมครั้งนี้ก่อให้เกิดเศษซากในอวกาศที่กระจัดกระจายในวงโคจรถึง 400 ชิ้น และพบว่า เศษซากดังกล่าวมีรัศมีใหญ่กว่า 10 เซนติเมตรถึง 60 ชิ้น ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่เศษซากจากการทำลายดาวเทียมจะชนเข้ากับสถานี ISS ถึง 44%
แม้ว่านายโมดีจะพยายามสร้างผลงานมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าประเทศใด เศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นประเด็นที่ถูกนำมาใช้วัดฝีมือของรัฐบาลอยู่เสมอ อินเดียก็เช่นกัน รัฐบาลโมดีถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องอัตราว่างงานในระดับสูง ทั้งที่เมื่อ 5 ปีที่แล้วที่โมดีได้มีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่นายกฯนั้น เขาได้ประกาศสร้างงานหลายล้านตำแหน่ง ตลอดจนให้คำมั่นว่าจะผลักดันอินเดียก้าวเข้าสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ดูเหมือนคำมั่นสัญญาดังกล่าวยังห่างไกลจากความเป็นจริง
อัตราว่างงานในอินเดียเมื่อเดือนก.พ. 2562 เพิ่มขึ้นแตะระดับ 7.2% นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนก.ย. 2559 และยังปรับตัวขึ้นจากระดับ 5.9% ในเดือนก.พ.2561 โดยจำนวนผู้ว่างงานในอินเดียนั้นถูกประเมินไว้ว่าอยู่ที่ 400 ล้านรายในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับสถิติในเดือนก.พ.ปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 406 ล้านราย
นอกจากนี้ เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากความต่างของศาสนาในประเทศยังเป็นอีกสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องดูแล อินเดียเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู และการฆ่าวัวถือเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา กลุ่มชาตินิยมที่นับถือศาสนาฮินดูได้ผลักดันแคมเปญทางการเมืองเพราะไม่พอใจที่ทางการไม่สามารถออกคำสั่งห้ามหรือหยุดยั้งการลักลอบซื้อขายวัวได้ และตั้งแต่ที่เนื้อวัวถูกบริโภคเป็นจำนวนมากโดยประชากรส่วนน้อยนั้น พรรคบีเจพีจึงออกมาเคลื่อนไหวเพื่อหาเสียงสนับสนุนจากกลุ่มผู้นับถือศาสนาฮินดู ด้วยการออกแถลงการณ์ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องวัว และเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา นายโมดีกล่าวถึงเหตุโจมตีกลุ่มผู้ฆ่าหรือซื้อขายวัวที่เกิดขึ้นเป็นระยะว่า การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนภาพถึงสังคมที่เจริญแล้ว
นับเป็นเรื่องปกติที่ความเคลื่อนไหวเพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในทุกรูปแบบ แม้แต่ดราม่าจากวงการบอลลีวู้ดที่ได้จัดทำภาพยนตร์ชีวประวัติของโมทีขึ้นมาและจะออกฉายในวันที่ 5 เม.ย.นี้ ก่อนหน้าการเปิดคูหาให้ลงคะแนนเสียงเพียงไม่กี่วัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านโจมตีอย่างหนัก พรรคฝ่ายค้านได้ออกมาเรียกร้องคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียให้ระงับการฉายหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของนายโมดีตั้งแต่ยังเป็นแค่เพียงชายผู้ขายชาคนหนึ่งในเมืองคุชราต จนท้ายที่สุดสามารถก้าวผงาดขึ้นเป็นนายกฯของประเทศ
หนึ่งในฉากที่ถูกวิจารณ์ คือ ฉากที่ดาราผู้รับบทเป็นนายโมดีกล่าวเตือนปากีสถานว่า "If you strike us again, we’ll strike harder" ซึ่งไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดที่พรรคฝ่ายค้านต้องออกมาเคลื่อนไหวสกัดกั้นทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ภาพยนตร์เรียกคะแนนเรื่องนี้ออกสู่สายตาประชาชน เพราะไม่เพียงแต่บทเท่านั้นที่สามารถสร้างอินเนอร์ให้กับประชาชน แต่ภาพและเรื่องราวต่างๆก็ถูกหยิบโยงจนสามารถสร้างความได้เปรียบให้กับนายโมดี ขณะที่ทนายความซึ่งรับหน้าที่เป็นตัวแทนของบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกมาแย้งว่า การสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้ผลิตภาพยนตร์
เหตุโจมตีขบวนรถทหารอินเดียในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ของอินเดีย เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2561 ส่งผลให้มีทหารอินเดียเสียชีวิตถึง 46 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งให้กับรัฐบาลอินเดีย ขณะที่รัฐบาลปากีสถานถูกวิจารณ์ว่าอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนกลุ่มเจอีเอ็ม หรือกลุ่มก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนที่มีฐานปฏิบัติการในพื้นที่แคชเมียร์ที่ปกครองโดยปากีสถาน
แม้รัฐบาลปากีสถานจะออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แต่กลุ่มเจอีเอ็มได้ออกมายอมรับว่าเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลอินเดียได้เปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเพื่อตอบโต้ และประกาศว่าสามารถสังหารกลุ่มเจอีเอ็มได้ถึง 200 ราย แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์ความขัดแย้งได้คลี่คลายลง เมื่อปากีสถานได้ส่งตัวนักบินอินเดียกลับประเทศ หลังจากที่เครื่องบินรบของอินเดียถูกยิงตกในเขตแดนปากีสถาน
ความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงของสองประเทศที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมจึงเป็นอีกประเด็นที่เป็นตัวแปรในการลงคะแนนเสียงครั้งนี้
ผลการเลือกตั้งของประเทศซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานบนภูมิประเทศที่สวยงาม ท่ามกลางความขัดแย้ง วัฒนธรรม ศาสนา และเอกลักษณ์เฉพาะอย่างอินเดีย จะกลายเป็นกระจกที่บ่งบอกความเป็นมาและความเป็นไปที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง