In Focusฝันร้ายในกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา กับเหตุระเบิด 8 ครั้ง สะเทือนขวัญทั่วโลก

ข่าวต่างประเทศ Wednesday April 24, 2019 15:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หากได้ลองทบทวนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในศรีลังกาตั้งแต่ช่วงสองปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าศรีลังกาเป็นประเทศที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ทั้งเหตุน้ำท่วม ดินถล่มครั้งใหญ่ในช่วงเดือน พ.ค. 2560 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเป็นจำนวนมาก หรือวิกฤตการเมืองในช่วงเดือน ต.ค. 2561 ซึ่งส่งผลให้ประธานาธิบดีไมตรีพาลา สิริเสนาต้องประกาศยุบสภาพร้อมสั่งปลดนายรานิล วิกรมสิงเหออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนที่นายรานิล วิกรมสิงเห จะถูกแต่งตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในเดือนธ.ค. 2561หลังจากที่ปัญหาเริ่มคลี่คลายลง อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ปัญหาระลอกใหม่ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ศรีลังกาเผชิญภัยแล้งอย่างหนัก ส่งผลให้ศรีลังกาต้องประกาศดับไฟฟ้าในพื้นที่บางส่วนทั่วประเทศวันละ 4 ชั่วโมง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนในอ่างเก็บน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า เหตุภัยแล้งครั้งใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็นับว่าน่าเห็นใจแล้ว แต่ใครบ้างจะรู้ว่าหลังจากนั้นอีกไม่ถึง 1 เดือน จะเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ในประเทศนี้อีกครั้งกับเหตุลอบวางระเบิดถล่มโบสถ์และโรงแรมหลายแห่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 359 ราย และบาดเจ็บอีก 500 ราย เรื่องราวเป็นมาอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากเหตุระเบิด In Focus วันนี้ จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุสะเทือนขวัญมาสรุปให้ผู้อ่านได้ติดตามไปพร้อมกัน

*โศกนาฏกรรมเปิดฉากวันอีสเตอร์: วันเฉลิมฉลองอันน่าสลดจากเหตุระเบิดถึง 8 ครั้ง

เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา เหล่าคริสตศาสนิกชนทุกคนคงทราบดีว่า เป็นวันเฉลิมฉลองที่พระเยซูคริสต์คืนพระชนม์จากการถูกตรึงด้วยไม้กางเขน ชาวคริสต์ในศรีลังกาก็เช่นกัน หลายคนตื่นมาด้วยความตั้งใจที่ว่า จะไปเฉลิมฉลองเทศกาลศักดิ์สิทธิที่โบสถ์ บรรยากาศคงจะเปี่ยมไปด้วยความสุข ความยินดี แต่ช่างน่าโชคร้ายที่หลายคนไม่ทราบว่า วันนั้นจะมีเหตุอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้น และอาจเป็นวันอีสเตอร์สุดท้ายของใครบางคน หรืออาจเป็นอีสเตอร์สุดท้ายของหลายครอบครัวที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน

เหตุระเบิดในวันนั้นเกิดขึ้นทั้งหมด 8 ครั้ง เหตุระเบิดครั้งแรกได้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 8.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่พิธีในโบสถ์เซนต์แอนโทนี ไชรน์ ในกรุงโคลัมโบเพิ่งเริ่มต้นไปได้ไม่นาน ก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกสองแห่งที่โบสถ์เซนต์เซบาสเตียนในกรุงโคลัมโบ และโบสถ์ซีออนในเมืองบัตติคาลอซึ่งอยู่ทางชายฝั่งทิศตะวันออกของกรุงโคลัมโบ นอกจากนี้ยังเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงแรมหรูอีกถึง 3 แห่งภายในช่วงเช้าของวันนั้น ซึ่งรวมถึงโรงแรมแชงกรีลา โรงแรมซินนามอนแกรนด์ และโรงแรมคิงส์บิวรี ในกรุงโคลัมโบ เหตุระเบิดในโบสถ์และโรงแรมหลายแห่งภายในช่วงเช้าได้สร้างความตระหนกและความวุ่นวาย แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เหตุระเบิดได้เกิดขึ้นอีกครั้งที่บริเวณเกสต์เฮาส์ใกล้สวนสัตว์เดฮิวาลาในกรุงโคลัมโบ ตบท้ายด้วยเหตุระเบิดในบ้านหลังหนึ่งในกรุงโคลัมโบ เหตะเบิดครั้งสุดท้ายส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายเสียชีวิต

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชาวคริสต์เท่านั้น ยังมีชาวศรีลังกาและชาวต่างชาติอีกจำนวนมากที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว ญาติมิตรจากเหตุระเบิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้ง 321 รายนั้น มีชาวต่างชาติอย่างน้อย 35 ราย รวมถึงชาวอินเดีย 3 ราย ชาวโปรตุเกส 1 ราย ชาวตุรกี 2 ราย ชาวอังกฤษ 3 ราย ผู้ถือสองสัญชาติ (อเมริกันและอังกฤษ) 2 ราย ชาวดัตช์ 1 ราย และชาวจีนอีก 1 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก นับเป็นความรุนแรง ความสูญเสีย และความเสียหายครั้งใหญ่ที่หลายคนไม่อาจจินตนาการถึง

*รัฐบาลไม่นิ่งเฉย ประกาศเคอร์ฟิว เร่งสอบสวน หวังนำพาประเทศกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง

เมื่อเหตุก่อการร้ายที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลศรีลังกาซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการประเทศก็คงไม่อาจนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้ได้ รัฐบาลจึงได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศภายในวันเกิดเหตุ ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นของวันที่ 21 เม.ย. ไปจนถึงหกโมงเช้าของวันที่ 22 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น รวมถึงสั่งปิดสื่อโซเชียลมีเดียเป็นการชั่วคราว ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูป วอทส์แอป อินสตราแกรม สแนปแชท และไวเบอร์ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง รวมถึงเพื่อป้องกันการแพร่กระจายข่าวลวง และลดความตึงเครียดจนกว่าการสอบสวนเรื่องการลอบวางระเบิดจะได้ข้อสรุป นอกจากนี้ รัฐบาลศรีลังกาได้ประกาศเคอร์ฟิวอีกครั้งในวันที่ 22 เม.ย. โดยบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 20.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นในวันนี้ จนถึงเวลา 04.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 23 เม.ย.

ในเรื่องของการดำเนินการสอบสวนนั้น เชื่อว่า รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการสอบสวนอย่างเต็มที่ เริ่มจากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าค้นบ้านหลังหนึ่งในกรุงโคลัมโบจนจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 7 ราย และปัจจุบันมีผู้เกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิดถูกจับกุมตัวแล้ว 13 รายทั้งนี้ก็เพื่อหาตัวของผู้ก่อเหตุและหาสาเหตุของการกระทำ ซึ่งทั้งหมดเป็นการดำเนินการเพื่อให้ศรีลังกากลับสู่ความสงบอีกครั้ง

*ความคืบหน้าในการสอบสวนล่าสุด

เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ได้สร้างความหวาดกลัว ความเศร้าโศก และความเสียหายให้กับศรีลังกาอย่างมหาศาล ในขณะที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการสืบสวนเพื่อหาตัวคนร้าย แม้ในขณะนี้ การสืบสวนจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้าและความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมากมาย

เมื่อวันจันทร์ที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา นายราจิธา เสนารัตเน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของศรีลังกาอ้างว่า กลุ่ม "National Thowheed Jamaat" ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวภายในศรีลังกา เป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุวางระเบิด ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) หรือกลุ่มอัลกออิดะห์ เนื่องจากมีลักษณะการโจมตีที่วางแผนมาอย่างดีคล้ายกับการโจมตีของกลุ่มดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีในศรีลังกา โดยได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางสำนักข่าว AMAQ ของกลุ่ม IS และได้เปิดเผยรายชื่อมือระเบิดฆ่าตัวตาย 7 รายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี การสืบสวนก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป

ล่าสุด นายรุวัน วิเจวาร์ดีน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมศรีลังกา อ้างว่า เหตุระเบิด 8 ครั้งในศรีลังกาเป็นการตอบโต้การโจมตีมัสยิดของชาวมุสลิมที่นิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยยังไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เหตุใดจึงเชื่อว่า ทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่อมโยงกัน ด้าน นางจาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ได้ออกมาปฏิเสธว่า ขณะนี้ ยังไม่ทราบว่า มีข่าวกรองที่เชื่อมโยงเหตุระเบิดรุนแรงในศรีลังกากับเหตุกราดยิงในมัสยิดที่นิวซีแลนด์ นอกจากนี้ มีผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า หากเป็นการแก้แค้นเหตุกราดยิงในนิวซีแลนด์ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ห่างกันไม่มาก ดังนั้นผู้ก่อการร้ายจะมีเวลาในการวางแผนวางระเบิดครั้งใหญ่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่การก่อเหตุครั้งนี้ต้องอาศัยการวางแผนมาอย่างดี คำถามก็คือ หากเหตุระเบิดครั้งนี้เป็นการตอบโต้เหตุกราดยิงในนิวซีแลนด์ ผู้ก่อเหตุจะสามารถวางแผนการก่อเหตุอย่างแยบยลขนาดนี้ได้อย่างไร?

บทสรุปของการสืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ยังไม่มีคำตอบที่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนในขณะนี้ก็คือเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีบุคคลทั่วไปคนใดต้องการให้เกิดขึ้น จะเห็นได้จากการที่ชาวศรีลังกาทั่วประเทศร่วมกันทำพิธีไว้อาลัย อีกทั้ง ผู้นำนานาประเทศได้ออกมาประณามความรุนแรงและแสดงความเสียใจกับศรีลังกากันถ้วนหน้า ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป รวมถึงประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขอเป็นกำลังใจให้ศรีลังกาผ่านพ้นวิกฤตและอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ด้วยดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ