เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และนางเมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ได้เดินทางถึงกรุงลอนดอน เพื่อเริ่มต้นภารกิจเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 3 วันของผู้นำสหรัฐ ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันนี้ หลังจากที่เคยเยือนดินแดนแห่งนี้มาแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
การเดินทางเยือนอังกฤษครั้งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากปีที่ผ่านมา เพราะเป็นการเยี่ยมเยียนประเทศอย่างเป็นทางการ (state visit) ซึ่งปกติแล้วเป็นไปตามคำเชิญจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จากคำแนะนำของรัฐบาลอังกฤษ โดยควีนเอลิซาเบธมักทรงให้การต้อนรับประมุขของประเทศต่าง ๆ ปีละ 1-2 คน และนายทรัมป์เป็นปธน.คนที่ 3 ของสหรัฐที่ได้เยี่ยมเยียนอังกฤษอย่างเป็นทางการและได้รับการต้อนรับแบบรัฐพิธี นับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในปี 2546 และอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาในปี 2554 แต่ถึงอย่างนั้น ควีนเอลิซาเบธได้ทรงพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐแทบทุกรายทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา เพียงแต่ไม่ได้เป็นการพบปะอย่างเป็นทางการทุกครั้ง
จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักพระราชวังสหราชอาณาจักรแล้ว ประเทศไทยเองก็เคยมีประมุขของประเทศเยี่ยมเยียนอังกฤษอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน โดยย้อนกลับไปยังปี 2503 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จฯ เยือนอังกฤษตามคำเชิญ ซึ่งนอกเหนือจากไทยแล้ว ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยได้รับคำเชิญ ได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน
เชิดชูสายสัมพันธ์กับประมุขของประเทศ แต่วิจารณ์นายกเทศมนตรีเมืองเจ้าภาพ
ปธน.ทรัมป์ และนางเมลาเนีย ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในการเยี่ยมเยียนประเทศวันแรก โดยหลังจากที่ปธน.ทรัมป์และภริยาเดินทางถึงสนามบินสแตนสเต็ดแล้ว ทั้งคู่ได้เดินทางต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปยังกรุงลอนดอน โดยมีเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ให้การต้อนรับ จากนั้นได้เดินทางไปยังพระราชวังบักกิ้งแฮม เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยมีแถวทหารให้การต้อนรับพร้อมยิงสลุต ต่อมาปธน.ทรัมป์และภริยาได้เดินทางไปยังเวสต์มินส์เตอร์ เพื่อเข้าเฝ้าเจ้าชายแอนดรูว์ และได้มีโอกาสไปเคารพสุสานทหารที่พลีชีพในสงครามโลกครั้งที่ 2
ในระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำที่พระราชวังบักกิ้งแฮมนั้น ปธน.ทรัมป์ ได้กล่าวยกย่องสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังได้กล่าวเชิดชูพระเกียรติสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ด้วย ขณะที่ควีนเอลิซาเบธได้ตรัสยกย่องความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วยเช่นกัน โดยทรงมีพระราชดำรัสว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐแลอังกฤษนั้นเป็นรากฐาน "ความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนทั้งสองประเทศมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ"
ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูชื่นมื่นนี้กลับมีความขัดแย้งซ่อนอยู่ เมื่อก่อนเดินทางถึงอังกฤษไม่กี่นาที นายทรัมป์ได้วิจารณ์นายซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กล่าวว่า อังกฤษไม่ควรปูพรมแดงต้อนรับนายทรัมป์ โดยนายทรัมป์ได้ทวีตข้อความอย่างดุเดือดว่า นายข่านเป็นคน "ขี้แพ้" แต่ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า ตนตั้งตารอการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรในครั้งนี้
ข้อความบนทวิตเตอร์ของปธน.ทรัมป์ ระบุว่า "นายซาดิก ข่าน ซึ่งทำหน้าที่นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนได้แย่มาก กลับทำตัวน่ารังเกียจอย่างไม่คิดสำหรับแขกผู้มาเยือนซึ่งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา พันธมิตรรายสำคัญที่สุดของสหราชอาณาจักร" พร้อมกับนี้ยังได้วิจารณ์อีกด้วยว่า "เขาเป็นคนขี้แพ้อย่างสิ้นเชิง และควรใส่ใจกับอาชญากรรมในลอนดอนมากกว่าผม"
หารือข้อตกลงการค้า-การเมืองแบบซอฟต์ ๆ ปูทางสู่นายกฯอังกฤษคนใหม่
ในการเดินทางเยือนอังกฤษวันที่ 2 นั้น ปธน.ทรัมป์ได้จัดการแถลงข่าวร่วมกับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โดยปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า เขาเชื่อว่าอังกฤษจะสามารถทำข้อตกลงที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับทางสหรัฐ หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
นอกเหนือจากประเด็นการเมืองอังกฤษแล้ว ทั้งสองประเทศยังได้มีการหารือเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน และเห็นตรงกันว่า สหรัฐและอังกฤษจะทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ สำหรับประเด็นเกี่ยวกับบริษัทหัวเว่ย ธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนนั้น ปธน.ทรัมป์ เปิดเผยว่า สหรัฐและอังกฤษจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อคุ้มครองการแบ่งปันข่าวกรอง แม้ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับหัวเว่ย ซึ่งสหรัฐมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และได้พยายามกดดันให้ชาติพันธมิตรเลิกใช้เทคโนโลยีของหัวเว่ย แต่อังกฤษดูเหมือนจะยังไม่ปฏิบัติตาม
พร้อมกันนี้ ปธน.ทรัมป์ ยังได้กล่าวชื่นชมนางเมย์ที่กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งในอีกไม่กี่วันนี้ว่า นางเมย์ "ทำหน้าที่ได้ดีมาก" ที่นำการเจรจา Brexit มาถึงจุดนี้ได้ และนางเมย์น่าจะเจรจาได้ดีกว่าตน โดยการแถลงข่าวร่วมกันดังกล่าวดูเหมือนมีขึ้นเพียงเป็นพิธี และการที่ปธน.ทรัมป์กล่าวชื่นชมนางเมย์นั้นก็เปรียบได้กับการบอกลา การหารือที่เกิดขึ้นจึงเป็นการส่งสัญญาณไปที่นายกฯ อังกฤษคนต่อไปมากกว่า
"ทรัมป์" ถูกวิจารณ์หนักแทรกแซงการเมืองอังกฤษ เหตุออกตัวสนับสนุนหนึ่งในตัวเก็งนายกฯ
บรรดาสมาชิกพรรคการเมืองของอังกฤษ ต่างได้ออกมาตอบโต้กรณีที่ปธน.ทรัมป์ ได้ออกตัวยกย่องนายบอริส จอห์นสัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ โดยเตือนว่า ปธน.ทรัมป์ ควรรักษาความเป็นกลางทางการเมืองอย่างที่ผู้นำประเทศรายอื่น ๆ ได้ปฏิบัติเสมอมา หลังก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวยกย่องนายจอห์นสันว่าเขาจะทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีในฐานะนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของอังกฤษ
นายมัลคอล์ม ริฟไคน์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ได้วิจารณ์ปธน.ทรัมป์ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นการแทรกแซงการเมืองประเทศอื่น "อย่างน่ารังเกียจ" ขณะเดียวกัน นายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ก็ได้ออกมาวิจารณ์เช่นกันว่า "การที่ปธน.ทรัมป์ออกความเห็นว่าใครจะเป็นนายกฯ อังกฤษคนต่อไปนั้น เป็นการแทรกแซงประชาธิปไตยอังกฤษอย่างที่ยอมรับไม่ได้"
ทั้งนี้ นายจอห์นสันถือเป็นตัวเก็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของอังกฤษ หลังจากที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยจะมีผลในวันที่ 7 มิ.ย. อย่างไรก็ดี นางเมย์จะยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะมีการสรรหาผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ ซึ่งนายจอห์นสันก็ได้ประกาศชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ แทนนางเมย์ โดยก่อนหน้านี้ นายจอห์นสันเคยอยู่ร่วมคณะรัฐมนตรีกับนางเมย์ แต่ได้ลาออกในเวลาต่อมา เนื่องจากไม่พอใจต่อการดำเนินการเจรจาของนางเมย์เกี่ยวกับข้อตกลง Brexit
ส่องสีสันการประท้วง ขณะโพลล์เผยประชาชน 2 ใน 3 มอง "ทรัมป์" ในแง่ลบ
สื่อรายงานว่าชาวอังกฤษนับพันได้เปิดฉากการประท้วงทั่วประเทศ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อปธน.ทรัมป์ ทั้งในเรื่องสิทธิสตรี ปัญหาโลกร้อน และผู้ลี้ภัย อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กลับแถลงข่าวว่า ตนเห็นเพียง "ชาวอังกฤษนับพันคน" ที่สนับสนุนตน ส่วนกลุ่มที่ประท้วงนั้นเป็นเพียงแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ทั้งยังกล่าวว่ารายงานข่าวที่ว่ามีคนประท้วงจำนวนมากนั้นเป็น "ข่าวปลอม" อีกด้วย
การประท้วงที่ว่านี้นอกเหนือจากจะมีการถือป้ายและตะโกนขับไล่แล้ว ยังมีการตั้ง "หุ่นยนต์ทรัมป์" ขณะกำลังไถหน้าจอมือถือบนโถส้วม และบอลลูน "ทรัมป์ใส่ผ้าอ้อม" ซึ่งเป็นบอลลูนเดียวกันกับที่เคยปล่อยขึ้นเมื่อทรัมป์เยือนอังกฤษเมื่อปีที่ผ่านมาด้วย
ในส่วนของประชาชนทั่วไปนั้น ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจาก YouGov เปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสำรวจถึง 67% มีมุมมองในทางลบต่อปธน.ทรัมป์ ขณะที่อีก 21% มองในแง่ดี ส่วน 12% ที่เหลือมีมุมมองเป็นกลาง เมื่อเทียบกับอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ถูกชาวอังกฤษมองในทางลบเพียง 11% และมองในทางบวกถึง 72%
จับตาการเยือนอังกฤษวันสุดท้าย คาดเดินสายพบปะผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม
ตลอดระยะเวลา 2 วันที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ได้ร่วมรับประทานอาหารกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ต่อด้วยการหารือและแถลงข่าวร่วมกับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย โดยขณะนี้มีรายงานข่าวว่า ปธน.ทรัมป์ จะเดินสายพบปะกับกลุ่มผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม รายงานข่าวระบุว่า ปธน.ทรัมป์ จะพบปะกับนายเจเรมี ฮันท์ และนายไมเคิล โกฟ ซึ่งเป็นผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมทั้งคู่ แต่รายชื่อดังกล่าวยังไม่นิ่ง ก่อนที่จะเข้าร่วมพิธีรำลึกวัน D-Day เป็นปีที่ 75
เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมทั้งหลายแล้ว สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จะตรัสคำอำลา เพื่อเป็นการปิดฉากการเดินทางเยือนอังกฤษของปธน.ทรัมป์อย่างเป็นทางการ และส่งปธน.ทรัมป์ และนางเมลาเนีย ขึ้นเครื่องบินสู่จุดหมายต่อไป นั่นคือประเทศไอร์แลนด์