บริษัทแอปเปิล อิงค์ได้จัดงานอีเวนต์เมื่อวานนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญคาดไว้ก่อนหน้านี้ คือมีการเปิดตัวแต่เพียง Apple Watch และ iPad รุ่นใหม่เท่านั้น โดยไร้วี่แววของ iPhone 12
ขณะนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone 12 ในเดือนต.ค. โดยคาดว่าจะเป็นวันที่ 13 ต.ค.
ที่ผ่านมา แอปเปิลมักเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆในเดือนก.ย. แต่ปีนี้ได้เลื่อนเวลาออกไป อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งกระทบต่อการผลิตของซัพพลายเออร์
ขณะนี้ แอปเปิลได้แจ้งให้บริษัทซัพพลายเออร์ดำเนินการผลิต iPhone 12 จำนวน 75-80 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเครื่องที่มีการแจ้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
*ส่องกล้องทศวรรษ iPhone ภายใต้"ทิม คุก"
ทิม คุก ได้เข้ารับตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิลในวันที่ 24 ส.ค.2554 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 2 เดือนก่อนที่สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิล จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน
นับตั้งแต่นั้นมา เป็นเวลา 1 ทศวรรษ หรือเกือบ 10 ปี บริษัทแอปเปิลภายใต้การกุมบังเหียนของทิม คุก ก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย นอกเหนือจาก iPhone โดยเขาสามารถนำพาแอปเปิล ซึ่งมีมูลค่าตลาดเพียง 3.5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2554 กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลกกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว
In Focus สัปดาห์นี้ เราจะเจาะลึกผลกระทบของ iPhone ต่อเศรษฐกิจโลก และภาคอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยแม้แอปเปิลมีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น iPad, Apple Watch และ AirPods แต่ก็ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่มีอิทธิพลต่อโลกได้มากกว่า iPhone
iPhone ถือเป็น Disruptive Innovation ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและพฤติกรรมของผู้บริโภค และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
*ย้อนรอย iPhone 2G ไปสู่ iPhone 5G ในเดือนหน้า
แอปเปิลเปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2550 ซึ่งรองรับระบบ 2G โดยขณะนั้น iPhone ถือเป็นสินค้าที่มีการใช้ในวงจำกัด และแอปเปิลผูกการให้บริการกับบริษัทมือถือเพียงรายเดียวคือ AT&T แต่เมื่อเวลาผ่านไป iPhone ได้มีการพัฒนามากขึ้น โดย iPhone 3G ซึ่งเปิดตัวในปี 2551 ได้เป็นโทรศัพท์มือถือที่เปิดโลกอินเทอร์เน็ตครั้งแรกของโลก ส่วน iPhone 5 ซึ่งมีการเปิดตัวในปี 2555 ก็ได้รองรับระบบ 4G และในไม่ช้า แอปเปิลจะเปิดตัว iPhone 12 ในเดือนหน้า ซึ่งจะรองรับระบบ 5G หลังจากปล่อยให้ค่ายมือถือจากจีนและเกาหลีใต้นำหน้าไปก่อนหน้านี้
แอปเปิลเปิดเผยว่า บริษัทสามารถจำหน่าย iPhone ราว 1.6 พันล้านเครื่องในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา และขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ใช้ iPhone ในชีวิตประจำวันมากกว่า 900 ล้านเครื่อง
iPhone ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกโฉมแอปเปิลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ทำกำไรจากการขายเครื่องเล่น MP3 มาสู่อาณาจักรธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก คิดเป็นเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าซาอุดี อารามโค บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก
*iPhone พลิกโฉมอุตสาหกรรมโลก "สร้างเสริม VS ทำลาย"
iPhone กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เนื่องจากได้ทดแทนอุปกรณ์หลายอย่างที่เราเคยมี เช่น นาฬิกาปลุก ปฏิทิน สมุดโน้ต อุปกรณ์ GPS เครื่องเล่น MP3 หรือแม้แต่ไฟฉาย
"เมื่อ 15 ปีก่อน เราใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อพูดคุยกัน แต่ทุกวันนี้ เราใช้มันทำแทบทุกอย่าง และถือเป็นรีโมทคอนโทรลสำหรับชีวิตของเรา" นายเจฟฟ์ คาแกน นักวิเคราะห์ด้านโทรศัพท์มือถือ กล่าว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดที่แสดงถึงอิทธิพลของ iPhone ก็คือ ภาวะตกต่ำของยอดขายกล้องถ่ายรูป จากระดับ 109 ล้านเครื่องในปี 2553 เหลือเพียง 9 ล้านเครื่องในปี 2561
"สินค้าบางอย่างถูกกระทบเพียงเล็กน้อย แต่บางอย่างก็แทบหายไปจากตลาด และนี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลไกตลาดเสรี" ศาสตราจารย์โทมัส คุก จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี นอกจากจะเป็นตัวทำลายอุตสาหกรรมบางอย่างแล้ว iPhone ยังช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นมากมาย โดย Lyft และ Uber ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการรถโดยสารผ่านแอปพลิเคชั่น และมีมูลค่าตลาดรวมกันมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่างก็ได้ประโยชน์จากการที่ iPhone สามารถระบุตำแหน่ง GPS และมีการเชื่อมต่อระบบไร้สายความเร็วสูง
"เมื่อเราพิจารณาคุณสมบัติของ iPhone เราก็เห็นการก่อเกิดบริษัทจำนวนมากที่มีมูลค่าตลาดนับพันล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจจัดส่งอาหาร การให้บริการ mobile banking หรือแม้แต่ YouTube ก็จะไม่เป็น YouTube แบบทุกวันนี้ หากไม่มี iPhone" นักวิเคราะห์กล่าว
นอกจากนี้ App Store ยังช่วยสร้างธุรกิจมากมาย รวมทั้งสร้างรายได้ให้แก่นักพัฒนาแอปพลิเคชั่น โดยแอปเปิลเปิดเผยว่า นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นบน App Store สามารถทำเงินมากถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์นับตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2551 ขณะที่ทำรายได้มากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2561 เพียงปีเดียว
การที่แอปเปิลสามารถผลิต iPhone รุ่นใหม่ได้ทุกปี พร้อมกับประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ช่วยสร้างงานให้แก่บริษัทซัพพลายเออร์จำนวนมาก รวมทั้งจ้างงานในจีนมากถึง 4.8 ล้านตำแหน่ง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ก็ได้ใช้ชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต iPhone เช่น กล้องขนาดจิ๋ว แบตเตอรีและทัชสกรีนคุณภาพสูง ในการต่อยอดสำหรับการผลิตอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น โดรน สกู้ตเตอร์ และผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านอัจฉริยะ
*ความสำเร็จของ iPhone ภายใต้การนำของ "ทิม คุก"
ในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา iPhone ได้มีการพัฒนาให้เป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจาก iPhone 3G ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดในช่วง 10 ปีก่อน โดยมีความเร็วในการประมวลผล 412 MHz มาเป็น iPhone 11 Pro ในปีที่แล้ว ซึ่งมีความเร็ว 2.65GHz ขณะที่ผลการทดสอบพบว่า iPhone รุ่นใหม่มีประสทธิภาพมากกว่าคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปบางรุ่น
นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของหน้าจอและกล้องก็มีการพัฒนาดีขึ้นเช่นกัน จาก iPhone รุ่นแรกในปี 2550 ซึ่งมีหน้าจอขนาด 3.5" และกล้องมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ไปสู่ iPhone 11 Pro MAX ซึ่งมีหน้าจอ 6.5" และมีกล้องถึง 3 ตัว ซึ่งมีความละเอียดมากถึง 12 ล้านพิกเซลทุกตัว
ภายใต้การนำของทิม คุก แอปเปิลสามารถขาย iPhone จำนวนหลายพันล้านเครื่อง และสร้างผลกำไรหลายแสนล้านดอลลาร์ให้แก่แอปเปิล โดย iPhone 11 ที่เพิ่งเปิดตัวในปีที่แล้ว สามารถทำสถิติเป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีที่สุดในโลก โดยมียอดขายมากถึง 37 ล้านเครื่องในช่วงครึ่งปีแรกนี้
แอปเปิลยังได้รับการรวมเป็น 1 ใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนีดาวโจนส์ในปี 2558 ซึ่งเป็นการแสดงถึงการยอมรับในฐานะหุ้นบลูชิพในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นอกจากนี้ การที่บริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าถือหุ้นในบริษัทแอปเปิลมากกว่า 5% ก็เป็นการบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นต่อธุรกิจของแอปเปิล
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. แอปเปิลกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลก ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2561
นอกจากนี้ ทิม คุกยังมีวิสัยทัศน์ในการสร้างความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล นอกเหนือจาก iPhone โดยได้เปิดตัว iPad, Apple Watch และ AirPods รุ่นใหม่ รวมทั้งเปิดตัวการให้บริการหลายอย่าง เช่น Apple Arcade, Apple Music, Apple TV+, Apple News+ และ Apple Fitness+ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจฮาร์ดแวร์
แอปเปิลยังให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยได้ริเริ่มโครงการผลิตสินค้าโดยใช้วัสดุรีไซเคิล เพื่อลดการปล่อยขยะอิเลกทรอนิกในแต่ละปีที่เกิดจากการที่สาวกแอปเปิลเลิกใช้ผลิตภัณฑ์เดิมเพื่อซื้อรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีการเปิดตัว
ขณะเดียวกัน iPhone ได้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Screen Time ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการเสพติด iPhone ของบรรดาสาวก โดย Screen Time จะจำกัดเวลาการใช้งานของแอปพลิเคชั่น ซึ่งจะมีประโยชน์มากสำหรับคนที่ติดโซเชียลจนเสียเวลางาน หรือเหมาะสำหรับการควบคุมเด็กที่ติดเกมบนมือถือ
*นักลงทุนรวยไม่รู้ตัว หากกอดหุ้น IPO แอปเปิลถึงตอนนี้
นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า ผู้ที่ยังคงถือหุ้นแอปเปิลขณะที่เริ่มเสนอขายต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2523 หรือเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เขาจะกลายเป็นเศรษฐีในตอนนี้ โดยหากเขาลงทุนซื้อหุ้น IPO ในขณะนั้นเพียง 1,000 ดอลลาร์ ก็จะกลายเป็นเงินถึง 1,159,000 ดอลลาร์ในเดือนนี้ หรือคิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 115,900% เมื่อเทียบกับผลตอบแทน 6,800% จากการลงทุนในหุ้นทั่วไปในตลาด
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ถือหุ้นแอปเปิลได้นานขนาดนั้น จะต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้ และเชื่อมั่นในตัวบริษัทอย่างมาก เพราะแอปเปิลในยุคเริ่มแรกไม่ได้เป็นบริษัทที่ดูดีมีราศีเหมือนในปัจจุบัน โดยบริษัทต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย และกว่าที่ราคาหุ้นจะดีดตัวขึ้น ก็ต้องใช้เวลาถึง 27 ปีหลังจากขายหุ้น IPO หรือตรงกับปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่แอปเปิลเปิดตัว iPhone รุ่นแรก โดยราคาหุ้นแอปเปิลเริ่มทะยานขึ้นในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา และปรับตัวโดดเด่นกว่าตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
*จับตาทศวรรษต่อไปของแอปเปิลภายใต้"ทิม คุก"
เราคงต้องจับตาดูกันว่าในอีก 1 ทศวรรษข้างหน้า แอปเปิลจะมีทิศทางอย่างไรต่อไปภายใต้การนำของทิม คุก และจะใช้เวลานานแค่ไหนในการขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาด 3 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สาวกแอปเปิลคงเฝ้าจับตาการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่กันทุกปี ซึ่งในอีก 10 ปี เราคงได้เห็นโฉมหน้าของ iPhone 22 แต่ตอนนี้ ขอให้เรามาร่วมลุ้นการเปิดตัว iPhone 12 ในเดือนหน้าด้วยกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะทำยอดขายถล่มทลาย และประสบความสำเร็จไม่แพ้ iPhone 11