เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การเดินทางเยือนรัสเซียของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือเพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ท่ามกลางความตึงเครียดอันเกิดจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน สร้างความหวั่นวิตกไปทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐและชาติพันธมิตรที่เฝ้าจับตาท่าทีของทั้งสองชาติอย่างใกล้ชิด
In Focus ในวันนี้จึงขอพาท่านผู้อ่านไปสำรวจเหตุการณ์ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในการพบปะกันที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกครั้งนี้
*ทริปเยือนรัสเซียของผู้นำเกาหลีเหนือ
นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านอุตสาหกรรมอาวุธและทหาร รวมทั้งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนรัสเซียในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ด้วยรถไฟส่วนตัว เพื่อพบปะและร่วมประชุมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียที่เมืองวลาดิวอสต็อก โดยนายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินกล่าวว่า "การเดินทางเยือนรัสเซียของนายคิม จะเป็นการเยือนเต็มรูปแบบ โดยจะมีเจรจากันระหว่างเจ้าหน้าที่ตัวแทนของทั้งสองประเทศ และหลังจากนั้นผู้นำของทั้งสองฝ่ายจะหารือกันแบบตัวต่อตัว"
การเดินทางในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่เกาหลีเหนือได้ต้อนรับการมาเยือนของนายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียเมื่อวันที่ 26 ก.ค. เพื่อฉลองครบรอบ 70 ปีการสิ้นสุดสงครามเกาหลีที่มีการเฉลิมฉลองในเกาหลีเหนือในชื่อ "วันแห่งชัยชนะ" (Victory Day) ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ให้คำมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยสำนักข่าวยอนฮัปรายงานโดยอ้างอิงสถานีวิทยุกระจายเสียงกลางเกาหลี (KCBS) ของเกาหลีเหนือว่า นายชอยกูยกย่องกองทัพเกาหลีเหนือว่า "ทรงพลังมากที่สุดในโลก" ระหว่างงานเลี้ยงในกรุงเปียงยาง ในขณะที่พบปะกับนายคัง ซุนนัม รัฐมนตรีกลาโหมของเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ การพบปะกันของทั้งสองผู้นำแห่งโลกคอมมิวนิสต์ดูเหมือนจะเป็นไปอย่างชื่นมื่น หลังสำนักข่าวกลางของรัฐบาลเกาหลีเหนือ (KCNA) รายงานว่า ปธน.ปูติน ตอบรับคำเชิญเยือนเกาหลีเหนือของนายคิมหลังจากที่เสร็จสิ้นการประชุมในคืนวันที่ 13 ก.ย. ก่อนนายคิมเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินรบคอมโซโมลสค์ที่เมืองคอมโซโมลสค์-ออน-อามูร์ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตเครื่องบินรบ Su-35 และ Su-57 รวมถึงเยี่ยมชมวอสโตชนีคอสโมโดรมในแคว้นอามูร์ ซึ่งเป็นศูนย์ปล่อยยานอวกาศที่ทันสมัยที่สุดของรัสเซีย
*ดีลอาวุธ-เทคโนโลยี
การกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ทำให้สหรัฐและชาติพันธมิตรคาดการณ์กันว่า เกาหลีเหนือและรัสเซียจะหารือร่วมกันเกี่ยวกับการส่งอาวุธเพื่อช่วยรัสเซียในการทำสงครามในยูเครน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยสหรัฐได้ออกมาแสดงความกังวล หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าการเจรจาซื้อขายอาวุธระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือมีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา พร้อมขู่จะดำเนินการมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อทั้งรัสเซียและเกาหลีเหนือโดยไม่ลังเล หากทั้งสองประเทศทำข้อตกลงซื้อขายอาวุธรอบใหม่
แม้ว่าการพบปะกันระหว่างนายคิมและปธน.ปูตินในครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยพบปะกันครั้งแรกเมื่อปี 2562 แต่บริบทของทั้งสองครั้งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากตอนนี้เกาหลีเหนือมีอาวุธยุทโธปกรณ์และกระสุนซึ่งเป็นสิ่งที่รัสเซียต้องการ โดยนายวิคเตอร์ ชา รองประธานอาวุโสศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (CSIS) ประจำภูมิภาคเอเชียและเกาหลีมองว่า การเจรจาในครั้งนี้อาจดูเหมือนแค่เป็นการแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ของเกาหลีเหนือกับอาหารและพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งขาดแคลนอย่างหนักหลังจากการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่การที่ทั้งสองผู้นำเลือกจะเยี่ยมชมศูนย์ปล่อยยานอวกาศในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้น อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เกาหลีเหนือต้องการความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีในการผลิตดาวเทียมสอดแนมทางทหารซึ่งล้มเหลวในการส่งออกสู่อวกาศถึง 2 ครั้งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ไปพร้อม ๆ กับการตอบโต้การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-ญี่ปุ่น-เกาหลีในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นายเพสคอฟได้ออกมาปฏิเสธว่า รัสเซียไม่ได้มีการลงนามในข้อตกลงทางทหารกับเกาหลีเหนือแต่อย่างใดในระหว่างที่นายคิมเดินทางเยือนรัสเซีย ซึ่งสวนทางกับรายงานของสำนักข่าวเกียวโดซึ่งอ้างอิงแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัสเซียก่อนหน้านี้ว่า การสนทนากันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความร่วมมือด้านการทหาร เพื่อส่งความช่วยเหลือรัสเซียในการรุกรานยูเครน และรายงานของ KCNA เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ระบุว่า นายคิมได้แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับแนวทางเสริมความแข็งแกร่งในการประสานงานเชิงกลยุทธ์ และความร่วมมือเชิงยุทธวิธีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศทั้งในด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ
*เก็บตกของขวัญอำลา
สำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียรายงานว่า นายคิมได้รับโดรนกามิกาเซ่ (kamikaze drone) จำนวน 5 ลำ และโดรนสอดแนม "Geran-25" อีกหนึ่งลำ รวมถึงชุดเกราะกันกระสุนและผ้าชนิดพิเศษที่จะไม่ถูกตรวจพบจากกล้องจับความร้อน เป็นของขวัญอำลาจากผู้ว่าราชการแคว้นปรีมอร์เยก่อนเดินทางกลับเกาหลีเหนือ
การพบปะกันของสองผู้นำในครั้งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการทหารของเกาหลีเหนือ และเป็นทางออกของปัญหาความอดอยากที่เกิดขึ้นในประเทศ ในขณะที่ยูเครนก็อาจต้องตกที่นั่งลำบากมากขึ้น หากเกาหลีเหนือสนับสนุนด้านอาวุธให้กับรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการประชุมครั้งนี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างไรนั้น เราคงต้องติดตามดูสถานการณ์กันต่อไป