คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) คือสตาร์ระดับแถวหน้าของวงการเพลงแห่งยุคนี้ โดยป็อปสตาร์ชาวอเมริกันผู้โด่งดังรายนี้เพิ่งได้รับการขนานนามให้เป็น บุคคลแห่งปี 2566 (Person of the Year 2023) โดยนิตยสารไทม์ (TIME) และเพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นศิลปินคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มแห่งปี (Album of the Year) ได้มากที่สุดถึง 4 ครั้งด้วยกัน
การยืนอยู่ในฐานะศิลปินระดับแถวหน้ามาอย่างยาวนานจนถึงระดับสูงสุด ส่งผลให้สวิฟต์เป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างมากในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่สังคม ไปจนถึงด้านเศรษฐกิจ และการเมืองของสหรัฐ
In Focus สัปดาห์นี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวของเธอคนนี้
*เทย์เลอร์ สวิฟต์ : นักร้องสู่ซูเปอร์สตาร์ผู้สร้างอิทธิพลต่อเศรษฐกิจอเมริกัน
เทย์เลอร์ สวิฟต์ เติบโตขึ้นด้วยใจหัวใจที่รักในเสียงดนตรี และใช้เสียงเพลงเป็นสิ่งบำบัดหัวใจจากความโดดเดี่ยวที่เธอเผชิญในโรงเรียน ทั้งการถูกมองว่าแปลก น่าอึดอัด ถึงขั้นถูกเรียกเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ นั่นทำให้เธอตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางการเป็นศิลปินมาตั้งแต่อายุยังน้อย และสร้างหนทางของตัวเองด้วยความเป็นตัวตนของเธอที่สัมผัสได้ในทุก ๆ เพลง เธอเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ในแต่ละอัลบั้ม ซึ่งเธอจรดปากการังสรรค์ขึ้นมาในสไตล์การแต่งเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ และนั่นคือลายเซ็นที่ชัดเจนของเธอที่สลักชัดในทุก ๆ เพลง ตั้งแต่ยุคคันทรีเกิร์ล ยุคป็อปสตาร์ และยุคโฟล์คไอคอน
แม้ไม่ได้เป็นแฟนเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ แต่หลาย ๆ เพลงดังของเธออย่างเช่น Love Story, You Belong With Me, We Are Never Ever Getting Back Together, I Knew You Were Trouble, Shake It Off, Blank Space, Cruel Summer ไปจนถึง Anti-Hero คือเพลงที่หลาย ๆ คนต้องเคยฟังผ่านหู
เทย์เลอร์ สวิฟต์ สั่งสมความนิยมเรื่อยมาตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปี จนมาถึงจุดสูงสุดที่จากเด็กสาววัย 15 ปีที่ถือกีตาร์เล่นเพลงคันทรีในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซีในวันนั้น สู่ซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของโลกในวันนี้ ที่มียอดขายอัลบั้มรวมมากกว่า 200 ล้านก๊อปปี้ และรายได้จากผลงานเพลงของเธอคือปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เธอขึ้นสู่ทำเนียบเศรษฐีพันล้าน ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยิ่งไปกว่านั้น การทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ซึ่งก็คือ The Eras Tour ขึ้นแท่นคอนเสิร์ตที่ทำเงินได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยยอดขายตั๋ว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทัวร์ในทุกประเทศ แซงหน้าสถิติที่เซอร์ เอลตัน จอห์น (Elton John) เคยทำได้ที่ 939 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าเม็ดเงินจะมากกว่านี้ เนื่องจากคอนเสิร์ตนี้จะดำเนินต่อไปอีกยาวจนถึงช่วงปลายปี 2567
คอนเสิร์ตนี้กระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐได้ถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เริ่มต้นทัวร์ในเดือนม.ค. 2566 นอกจากนี้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ยังได้จ่ายเงินโบนัสรวม 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับทีมงานของคอนเสิร์ต ซึ่งรวมไปถึงคนขับรถบรรทุกด้วย
ด้านนายแดน ฟลีตวูด นักวิเคราะห์และประธานบริษัทเควสชันโปร รีเสิร์ช แอนด์ อินไซต์กล่าวว่า "หากเทย์เลอร์ สวิฟต์ คือเศรษฐกิจ เธอก็จะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า 50 ประเทศในโลก"
โดยปกติแล้วทุก ๆ การใช้จ่าย 100 ดอลลาร์สหรัฐในคอนเสิร์ตต่าง ๆ จะสร้างรายได้เสริมให้กับท้องถิ่นประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร และการขนส่ง แต่คอนเสิร์ต The Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ยกระดับการสร้างรายได้มากขึ้นไปอีก โดยประมาณการว่าคอนเสิร์ตของเธอสร้างรายได้ราว 1,300-1,500 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับธุรกิจต่าง ๆ เช่นเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า สินค้าเกี่ยวกับคอนเสิร์ต อาหาร และการเดินทาง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสุดสัปดาห์เดียว
*ผู้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการเพลง
นับตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักร้องนั้น เทย์เลอร์ สวิฟต์ มีอัลบั้มเป็นของตัวเองรวม 14 อัลบั้มด้วยกัน แต่ในจำนวนนี้ 4 อัลบั้มที่มีความแตกต่างออกไป เพราะเป็นอัลบั้มที่เธอนำเพลงเก่า ๆ จากอัลบั้มเดิมมาอัดใหม่อีกครั้ง และปล่อยออกมาในชื่อ "Taylor?s Version" ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลเบื้องหลัง และเป็นการโต้กลับที่เจ็บแสบ
เดิมที เทย์เลอร์ สวิฟต์ เซ็นสัญญาเป็นศิลปินใต้สังกัดของค่าย Big Machine Records มาตั้งแต่ปี 2548-2561 แต่หลังจากที่หมดสัญญาและย้ายค่ายแล้ว ทางค่ายได้ขายเพลง 6 อัลบั้มของเธอให้กับ สกูเตอร์ บรอน (Scooter Braun) โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง ซึ่งนำไปขายต่อในมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ สกูเตอร์จึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงทั้ง 5 อัลบั้มดังกล่าว แน่นอนว่าเป็นก้าวที่ฉลาด เพราะเขาจะสามารถทำเงินได้จากเพลงเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่มีสิทธิ์ครอบครองอีกต่อไป
หากการกระทำของสกูเตอร์ บรอนนั้นเป็นการเดินหมากที่ฉลาด การโต้กลับของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็อาจเรียกได้ว่ารุกฆาตและล้มกระดาน โดยเธอเริ่มต้นอัดเพลงเก่าของตัวเองใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่ปี 2562 และปล่อยอัลบั้มเพลงที่อัดใหม่ครั้งแรกใน 2564 เพื่อให้ได้สิทธิ์ครอบครองในเพลงของเธอเองอีกครั้ง ซึ่งเธอกล่าวว่า "ศิลปินคือผู้ที่ควรเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงของตน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการด้วยกัน" เพราะมันชัดเจนอยู่แล้วว่าศิลปินคือผู้เดียวที่รู้จักผลงานของตนเป็นอย่างดี ซึ่งไม่ใช่แค่เธอคนเดียวในวงการที่มีปัญหากับค่ายเพลงเก่า แต่การลุกขึ้นมาอัดเพลงใหม่คือการปฏิวัติวงการ โดยสื่อชี้ว่ามันเกิดขึ้นได้ เพราะคนที่ทำสิ่งนี้คือเทย์เลอร์ สวิฟต์ ผู้ที่มีอำนาจในมือ และกล้าใช้อำนาจนั้น
อัลบั้มเวอร์ชันอัดใหม่ได้แก่ Fearless (Taylor's Version), Red (Taylor's Version), Speak Now (Taylor's Version) และ 1989 (Taylor's Version) ซึ่งทั้งหมดต่างประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจากแฟนเพลง ที่เลิกฟังเพลงเก่าเวอร์ชันเดิม และหันไปฟัง Taylor?s Version" แทน เพื่อสนับสนุนสวิฟต์
การกระทำของเทย์เลอร์ สวิฟต์ สั่นสะเทือนไปทั้งอุตสาหกรรมวงการเพลง โดยทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจกระบวนการดำเนินงานเบื้องหลังของวงการเพลงมากขึ้น และทำให้บรรดาค่ายเพลงต่าง ๆ ออกกฎใหม่ในการเซ็นสัญญากับศิลปินเกี่ยวกับการอัดเพลงใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ศิลปินลุกขึ้นมาทำแบบเทย์เลอร์ สวิฟต์ โดยทนายความของค่ายใหญ่หลายแห่งกล่าวกับบิลบอร์ดว่า สัญญากำหนดว่าศิลปินจะสามารถอัดเพลงใหม่ได้ต่อเมื่อ เพลงเดิมถูกปล่อยมาแล้ว 5-7 ปี หรือ 2 ปี หลังจากที่ศิลปินหมดสัญญากับค่าย และศิลปินบางส่วน ถึงขั้นถูกแจ้งให้เซ็นข้อตกลงว่าจะไม่อัดเพลงใหม่หลังจากออกจากค่ายเป็นเวลานานถึง 10-30 ปีเลยทีเดียว
*ภาพเปลือยปลอมของเทย์เลอร์ สวิฟต์ : การตระหนักรู้และการรณรงค์ถึงภัยของเอไอ
ในช่วงปลายเดือนม.ค. 2567 ได้มีการเผยแพร่ภาพปลอมเชิงลามกอนาจารของเทย์เลอร์ สวิฟต์ และภาพนั้นได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วสังคมออนไลน์ โดยภาพดังกล่าวเป็นภาพดีปเฟก (Deepfake) ที่สร้างขึ้นโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ โดยนิวยอร์กโพสต์รายงานว่า การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างภาพลามกอนาจารปลอม ๆ นั้นมีมาตั้งแต่ราวปี 2560 ซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมีตั้งแต่คนดัง นักการเมือง ไปจนถึงนักเรียนนักศึกษา แต่กฎหมายที่มีอยู่แทบไม่ได้ทำให้เหยื่อได้รับความยุติธรรม จนกระทั่งเกิดกรณีของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ซึ่งจุดประกายให้เกิดการหารือในวงกว้างถึงการออกกฎเกณฑ์เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนใช้เอไอสร้างภาพลามกอนาจารในลักษณะนี้ และเพื่อปกป้องไม่ให้มีผู้คนตกเป็นเหยื่ออีก
สหพันธ์ศิลปินโทรทัศน์และวิทยุแห่งอเมริกา (SAG-AFTRA) ซึ่งเป็นตัวแทนของนักแสดงฮอลลีวูดกล่าวว่า ภาพปลอมของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงภาพปลอมของเหยื่อคนอื่น ๆ คือการขโมยความเป็นส่วนตัวและสิทธิในร่างกายของพวกเขา
เอ็กซ์ (X) หรือทวิตเตอร์ได้ปิดกั้นคำค้นชื่อ Taylor Swift บนแพลตฟอร์มเป็นการชั่วคราว ทางด้านโอเพนเอไอ (OpenAI) ได้ออกแถลงการณ์ว่า ภาพปลอมของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยโปรแกรมของบริษัท พร้อมระบุว่ามีการคัดกรองเนื้อหาลามกอนาจารออกไปในระหว่างที่ฝึกฝน DALLE- ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้สร้างสรรค์ภาพ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ระบุว่าจะสืบสวนเกี่ยวกับภาพดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และเสริมว่า จะยกระดับระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้บริการของบริษัทถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เพื่อสร้างภาพที่ไม่เหมาะสมเช่นนั้น
ด้านนางแครีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า ภาพปลอมดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง และจะดำเนินการเท่าที่ทำได้เพื่อจัดการกับเรื่องนี้ พร้อมกับเรียกร้องให้สภาคองเกรสควรดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นนี้ และการบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่อ่อนแอของบรรดาบริษัทโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับภาพปลอมเหล่านี้ซึ่งสร้างขึ้นโดยเอไอ ได้ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงเป็นอย่างมาก โดยเธอกล่าวเสริมว่า กระทรวงยุติธรรมได้จัดตั้งสายด่วนระดับชาติขึ้นสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการล่วงละเมิดทางเพศด้วยภาพปลอม
นอกจากนี้แล้ว ยังมีนักการเมืองสหรัฐอีกหลายคนที่ออกมาเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังเกี่ยวกับปัญหาภาพปลอมที่สร้างจากเอไอด้วยเช่นกัน
*ปัญหาที่ซูเปอร์สตาร์หนีไม่พ้น : เครื่องมือทางการเมือง
เทย์เลอร์ สวิฟต์ ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองในสหรัฐมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว และเธอโดนโจมตีจากพรรครีพับลิกันและกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันมาโดยตลอด นับตั้งแต่ตอนที่เธอให้การสนับสนุน นายโจ ไบเดน แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครต ผู้คว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2563 บวกกับการที่เธอเคยวิพากษ์วิจารณ์นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีผู้พ่ายแพ้ให้กับนายไบเดน และยิ่งเมื่อเธอประกาศตัวคบหาดูใจกับ ทราวิส เคลซี (Travis Kelce) ผู้เล่นตำแหน่งไทต์เอนด์ชื่อดังจากทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ (Kansas City Chiefs) ซึ่งจะเข้าชิงการแข่งขัน Super Bowl 2024 นั้น การโจมตีแบบใส่สีตีไข่ทางการเมืองที่มีต่อเทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น
การแข่งขัน Super Bowl หรือการแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลประจำปีของเนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL) คืออีเวนต์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดและเรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติของชาวอเมริกัน โดยการที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ กลายเป็นหวานใจของผู้เล่นคนดัง ไม่เพียงแต่ทำให้แฟน ๆ ของเธอหันมาชมการแข่งขันมากขึ้น ยอดเรตติ้งการถ่ายทอดสดแต่ละครั้งก็พุ่งทะลุเพดาน เนื่องจากกล้องมักจะจับภาพนักร้องสาวที่มาเชียร์อยู่ริมขอบสนามเสมอ และเป็นที่คาดการณ์ว่า เธอย่อมไม่พลาดที่จะไปปรากฏตัวเชียร์แฟนในศึก Super Bowl แน่นอน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการเต้าข่าวกันว่าการแข่งขันในปีนี้ อาจถูกบิดเบือนไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง โดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนนายไบเดนในการเลือกตั้งปลายปี 2567 นี้
นายแจ็ค โพโซเบียค นักวิจารณ์การเมืองฝ่ายขวาได้ออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเทย์เลอร์ สวิฟต์ กับ ทราวิส เคลซี ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นการคบกันเพื่อสร้างกระแสพีอาร์ ซึ่งวางแผนมาเพื่อโปรโมท NFL และกล่าวอีกว่าเธอจะชักจูงให้บรรดาผู้หญิงผิวขาวฝ่ายเสรีนิยมให้เทคะแนนไปเลือกนายไบเดน และเขายังมโนไปไกลอีกว่าการทัวร์คอนเสิร์ตในรัฐสวิงสเตท (Swing State) หรือรัฐสมรภูมิเลือกตั้งที่ไม่ได้เป็นฐานเสียงของพรรคใดพรรคหนึ่งนั้นคือการจัดฉาก
นอกจากนี้แล้ว นายวิเวก รามาสวามี อดีตผู้ท้าชิงตำแหน่งแคนดิเดตพรรครีพับลิกันที่ถอนตัวไปและประกาศให้การสนับสนุนนายทรัมป์ได้ออกมาตั้งคำถามบนเอ็กซ์ว่า "คู่รักที่เป็นกระแสสังคมแบบปลอม ๆ และได้รับความสนใจจากสื่ออย่างล้นหลาม" นี้ จะออกมาให้การสนับสนุนนายไบเดนหลังจากการแข่งขัน Super Bowl หรือไม่ และเขายังกล่าวอีกว่า ผลการแข่งขัน Super Bowls อาจถูกบิดเบือนไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสนับสนุนนายไบเดนก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น สถานีโทรทัศน์ฟอกซ์นิวส์ก็ได้โจมตี เทย์เลอร์ สวิฟต์ ว่าเข้าใจคุณค่าของพรรครีพับลิกันผิดไป พร้อมเตือนไม่ให้เธอสนับสนุนนายไบเดนอีกด้วย แม้ว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ จะยังไม่เคยออกตัวหรือแสดงนัยใด ๆ ว่า เธอจะสนับสนุนนายไบเดนก็ตาม