การประชุมสองสภาประจำปีของจีน ได้แก่ การประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ (CPPCC) และการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ณ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง ซึ่งกินเวลานานหนึ่งสัปดาห์ ได้ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 มี.ค.) โดยการประชุมแรกมีที่ปรึกษาทางการเมืองมากกว่า 2,000 คนเข้าร่วม และอีกการประชุมมีสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติกว่า 2,900 คนเข้าร่วม พร้อมด้วยคณะผู้นำของจีน ได้แก่ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี, นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรี, นายหวัง ฮู่หนิง ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ, นายจ้าว เล่อจี้ ประธานคณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนแห่งชาติ, นายไช่ ฉี เลขาธิการใหญ่ประจำสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน, นายติง เสวี่ยเซียง รองนายกรัฐมนตรี, นายหลี่ ซี เลขาธิการคณะกรรมาธิการตรวจสอบวินัยส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนายหาน เจิ้ง รองประธานาธิบดี โดยประเด็นที่น่าสนใจในการประชุมมีดังนี้
*ตั้งเป้าเศรษฐกิจโต 5%
ในการประชุมสองสภาประจำปีนี้ จีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไว้ที่ประมาณ 5% สำหรับปี 2567 หลังจากที่เศรษฐกิจจีนขยายตัว 5.2% ในปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายอย่างเป็นทางการที่รัฐบาลจีนกำหนดเอาไว้ที่ประมาณ 5% ขณะเดียวกัน จีนได้กำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณทางการคลังเอาไว้ที่ 3% ของ GDP สำหรับปี 2567 ซึ่งน้อยกว่าระดับ 3.8% ในปี 2566
นอกจากนี้ จีนกำหนดเป้าหมายอัตราว่างงานในเขตเมืองไว้ที่ประมาณ 5.5% รวมถึงสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 12 ล้านตำแหน่งในปี 2567 หลังจากที่จีนมีอัตราว่างงานในเขตเมือง 5.2% และสร้างงานได้ 12.44 ล้านตำแหน่งในปี 2566
พร้อมกันนี้ จีนตั้งเป้าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นประมาณ 3% สำหรับปี 2567 ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่กำหนดไว้ในปี 2566 แต่ดัชนี CPI ปี 2566 ขยับขึ้นเพียง 0.2% ท่ามกลางอุปสงค์ที่ซบเซา
*ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม
แผนงานสำคัญที่มีการเปิดเผยในการประชุมสองสภาประจำปีนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่จีนให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งตลอดปีนี้ โดยรัฐบาลจีนเตรียมจัดสรรงบประมาณ 1.04 หมื่นล้านหยวนเพื่อสร้างรากฐานทางอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่และส่งเสริมการพัฒนาภาคการผลิตอย่างมีคุณภาพสูง ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงจาก 1.33 หมื่นล้านหยวนในปีที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมแล้วภาคอุตสาหกรรมได้รับความสนใจจากรัฐบาลจีนมากขึ้น จากเดิมที่แผนการใช้จ่ายในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญเป็นอันดับสองในปี 2566
นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เน้นย้ำถึงการเติบโตอย่างโดดเด่นของ "อุตสาหกรรมการผลิตใหม่" อาทิ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียม และเซลล์แสงอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็ชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องเร่งพลิกโฉมอุตสาหกรรมดั้งเดิมเพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พร้อมเสริมว่ารัฐบาลวางแผนที่จะจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมนำร่องเพื่อรองรับโครงการสาธิตเทคโนโลยีระดับสูงแห่งอนาคต โดยถ้อยแถลงดังกล่าวส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ผู้นำระดับสูงของจีนมองว่าอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานสะอาดเป็นเสาหลักใหม่ในการรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแข่งขันต่อไปได้
*เพิ่มงบกลาโหมต่อเนื่อง
ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนได้ตั้งเป้าเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม 7.2% สู่ระดับ 1.67 ล้านล้านหยวนในปี 2567 หลังจากที่มีการเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้มานานต่อเนื่องหลายปี โดยมีการเพิ่มงบกลาโหม 7.2% ในปี 2566, 7.1% ในปี 2565, 6.8% ในปี 2564, 6.6% ในปี 2563 และ 7.5% ในปี 2562 ทั้งนี้ งบกลาโหมอย่างเป็นทางการของจีนสูงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกา แต่การประมาณการอย่างไม่เป็นทางการบ่งชี้ว่า การใช้จ่ายด้านกลาโหมที่แท้จริงของจีนอาจสูงกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการ
นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวนอกรอบการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันถือเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นของจีน และผลลัพธ์จะไม่เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจะไม่มีวันเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์ที่ไต้หวันจะต้องกลับคืนสู่มาตุภูมิ พร้อมกับเตือนว่า หลักการจีนเดียวเป็นฉันทามติของประชาคมระหว่างประเทศ ผู้ใดก็ตามที่ยังคงสมรู้ร่วมคิดและสนับสนุนเอกราชของไต้หวันถือว่ากำลังท้าทายอำนาจอธิปไตยของจีน และประเทศใดที่ยืนกรานรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันก็กำลังแทรกแซงกิจการภายในของจีนเช่นกัน
*พึ่งพาตนเองด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในการประชุมสองสภาประจำปีนี้ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการยกระดับการพึ่งพาตนเองและเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยยกให้คอมพิวเตอร์ควอนตัมและชีววิทยาศาสตร์เป็นสาขาที่จีนต้องเปิดกว้างมากขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะยกระดับความพยายามในการพัฒนาบิ๊กดาต้า การบินอวกาศเชิงพาณิชย์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปจนถึงเปิดตัวโครงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเชิงกลยุทธ์และเชิงอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน นายอิน เหอจวิ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวนอกรอบการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติว่า จีนจะเน้นหนักไปที่การบ่มเพาะคนเก่งในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศ
*คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวในการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติว่า คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ความสำคัญอย่างมากกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม พร้อมกับเน้นย้ำว่าต้องมีการปรับปรุงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละพื้นที่
ประธานาธิบจีนกล่าวเสริมว่า จีนต้องพยายามควบคุมมลพิษให้ได้ตามเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์และกฎหมาย ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์ การใช้งาน และการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงสำรวจวิธีการใหม่ ๆ ในการสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เชิงนิเวศ และบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนถึงเพดานสูงสุด ก่อนที่จะลดลงจนบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน
ขณะเดียวกัน รายงานการทำงานของรัฐบาลจีนระบุว่า จีนตั้งเป้าลดการใช้พลังงานต่อหน่วยของ GDP ลงประมาณ 2.5% ในปี 2567
*ประสานการพัฒนาระดับภูมิภาค
นับตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 18 ในปี 2555 จีนได้ดำเนินยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อประสานการพัฒนาระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการประสานการพัฒนาภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย และบูรณาการการพัฒนาสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ไปจนถึงบูรณาการและประสานการพัฒนาเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนารูปแบบใหม่และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงของจีน
ในการประชุมสองสภาประจำปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้สนับสนุนให้มณฑลเจียงซูเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแถบเศรษฐกิจแม่น้ำแยงซี และมีส่วนร่วมสนับสนุนยุทธศาสตร์การบูรณาการการพัฒนาสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี โดยขอให้มณฑลเจียงซูอาศัยจุดแข็งของตนเองในการขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
*ปฏิรูปเชิงลึกทุกด้าน
จีนให้ความสำคัญกับการปฏิรูปมานานหลายปีแล้ว และในการประชุมสองสภาประจำปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำหนดมาตรการสำคัญ ๆ เพื่อการปฏิรูปเชิงลึกในทุกด้าน ซึ่งจะเป็นแรงอัดฉีดที่แข็งแกร่งในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงและการพัฒนาประเทศจีนให้ทันสมัยต่อไป พร้อมกันนี้ ผู้นำจีนได้เน้นให้เพิ่มความเข้มข้นในการปฏิรูปด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา และผู้ประกอบวิชาชีพ ตลอดจนขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนา นอกจากนั้นยังสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับตลาด กฎหมาย และความเป็นสากล เพื่อส่งเสริมจุดแข็งใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจที่เปิดกว้างในระดับสูงขึ้น
ทั้งนี้ การประชุมสองสภาประจำปีนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่นายกรัฐมนตรีจีนไม่ได้จัดแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติตลอดมา ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากการแถลงข่าวถือเป็นโอกาสที่สื่อมวลชนทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศจะได้ถามคำถามและรับทราบข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ